การขึ้นทรงราชย์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิรากรณฯ เมื่อกลางดึกวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความปิติโสมนัสให้กับปวงชนชาวไทยมากที่สุด นับแต่การสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปย้อนชมภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ในวันเริ่มต้นแผ่นดินรัชกาลที่ 10
พระราชดำรัสของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงตอบรับการกราบบังทูลจากประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เสด็จขึ้นทรงราชย์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2559 สร้างความปิติโสมนัสให้กับปวงชนชาวไทย ด้วยทรงมีพระราชประสงค์สนองพระราชปณิธานแห่ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และเพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้งปวง
การขึ้นทรงราชย์ของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เกิดขึ้นภายหลังการสวรรคตของ พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ราว 49 วัน แม้ตามโบราณนิติประเพณี และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ระบุให้ราชอาณาจักรไม่สามารถวางเว้นองค์พระมหากษัตริย์เจ้าได้แม้แต่วินาทีเดียว หากด้วยพระราชประสงค์ในฐานะองค์รัชทายาท ณ ขณะนั้น ที่พระราชทานไว้ว่า ทรงต้องการร่วมทุกข์โศกกับปวงชนชาวไทย จนกว่าจะผ่านพระราชพิธีพระบรมศพไประยะหนึ่งก่อน การทรงราชย์จะเว้นว่างไประยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุภายหลังผลัดแผ่นดินใหม่ว่า การเริ่มต้นรัชกาลใหม่มีผลต่อเนื่องตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมา
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทราเทพวรางกูร เสด็จพระราชสมภพ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2495 เวลา 17.45 น. การประสูติกาลพระหน่อแห่งราชวงศ์จักรี ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั่วโลก เนื่องจากนับเป็นการประสูติ 'พระราชกุมารแห่งองค์พระมหากษัติย์ไทย' ในรอบ 59 ปี นับแต่การประสูติของ สมเด็จฯเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ หรือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เมื่อปีพุทธศักราช 2436
พระปรมาภิไธย 'วชิราลงกรณ' มีความหมายว่า "ทรงเครื่องเพชรนิลจินดา" หรืออาจแปลว่า "อสุนีบาต" สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงตั้งถวาย มาจากคำว่า "วชิรญาณะ" พระนามฉายาขณะผนวชในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ผนวกกับคำว่า "อลงกรณ์" จากพระนามในพระบาทสมเด็จพระพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท พระบาทพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สถิตในพระราชอิศริยยศ 'สยามมกุฏราชกุมาร' นับแต่พระชนมพรรษาครบ 20 พรรษาบริบูรณ์ อันเป็นวัยบรรลุนิติภาวะ เมื่อปี 2515 ภายหลังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทสืบราชสันตติวงศ์ ตามโบราณนิติประเพณี ตลอดจนค่านิยมของสังคมโลก
ตลอด 64 ปีในฐานะ 'สมเด็จพระบรมราชโอรสพระองค์เดียว' ของพระบาทพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระเจ้านางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพิสูจน์ให้ปวงชนชาวไทยประจักษ์ว่า ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ตามพระบรมราชโองการและพระราชเสาวนีย์อยู่เป็นนิจ มิเพียงเท่านี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยังประกอบพระราชกิจอีกน้อยใหญ่หลากหลายด้าน ทั้งการทหาร การบิน การศึกษา การสาธารณสุข การเกษตร และการต่างประเทศ
การสนองพระราชปณิธานของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อค่ำวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ภายหลังพระราชพิธีปัญญาสมวาร 50 วัน พระบรมศพ ด้วยการทรงตอบรับเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญ จึงนับเหตุการณ์ที่สร้างความปลื้มปิติมากที่สุด ให้กับปวงชนชาวไทย นับแต่อยู่ในภาวะโศกเศร้าจากการสวรรคตของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่ง และนับเป็นความหวังครั้งใหม่ ที่คนไทยจะได้พึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิศราชธรรม อีกสืบไป