การผลิตคราฟท์เบียร์ หรือเบียร์ที่ทำโดยผู้ผลิตขนาดเล็กและใช้วิธีการดั้งเดิมในการผลิต จะมีวัตถุดิบสำคัญในการผลิต นั่นคือพืชไม้เลื้อยที่ชื่อว่า ฮอปส์ (Hops) เพื่อปรุงแต่งรสชาติคราฟท์เบียร์ ที่ผ่านมา ไทยนำเข้าฮอปส์แห้งจากต่างประเทศ แต่ขณะนี้กำลังมีผู้ทดลองทำฟาร์มฮอปส์แห่งแรกในไทย
นี่คือพืชฮอปส์ พันธุ์ไม้เลื้อยให้ดอกสีเขียว หนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในการผลิตคราฟท์เบียร์ สำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก ที่ต้องการให้เบียร์ของตัวเองมีรสชาติหลากหลาย โดยดอกฮอปส์มีคุณสมบัติเหมือนสารกันบูด มีรสชาติขม เมื่อรวมกับ มอลต์ ยีสต์ และน้ำ ช่วยตัดรสหวาน จนได้เครื่องดื่มรสชาติลงตัว
ฮอปส์เหล่านี้ ปลูกอยู่ใน เดวา ฟาร์ม ที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เจ้าของคือ คุณอ๊อบ-ณัฐชัย อึ๊งศรีวงศ์ อดีตเจ้าของบริษัทผลิตซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่นสำหรับโทรศัพท์มือถือ ที่ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกร เขาศึกษาข้อมูลอย่างจริงจังก่อนจะมาถึงวันนี้
ในช่วงเริ่มต้น ณัฐชัย ทดลองนำเข้าเหง้าฮอปส์จากสหรัฐอเมริกาเข้ามาปลูกในไทยด้วยเงินลงทุน 1 หมื่นบาท โดยเริ่มต้นจากการปลูกในกระถาง ก่อนย้ายมาปลูกในโรงเรือน ปัจจุบันเขาปลูกฮอปส์รวม 32 สายพันธุ์ มากถึง 250 ต้น ใน5 โรงเรือน และลงทุนไปกว่า 8 แสนบาท
ณัฐชัย เล่าว่า ที่ผ่านมา การปลูกฮอปส์นิยมทำในภาคเหนือที่มีอากาศหนาว และปลูกเพื่อใช้ผลิตในครัวเรือน เดวา ฟาร์ม จึงเป็นการปลูกฮอปส์ในรูปแบบฟาร์มอย่างจริงจังครั้งแรกในเมืองไทย
เขาใช้ความรู้ด้านซอฟท์แวร์มาประยุกต์ในการทำงานครั้งนี้ ตั้งแต่ระบบให้น้ำ วัดอุณหภูมิ ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ พร้อมกับทดลองหาวิธีดูแลที่เหมาะสม
เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ณัฐชัย เพิ่งเก็บผลผลิตได้ 6 กิโลกรัม หากส่งจำหน่ายจะได้ราคา 3,500 บาทต่อกิโลกรัม และมีกำหนดเก็บเกี่ยวอีกครั้งในเดือนมีนาคมปีหน้า (60) ซึ่งคาดว่าผลผลิตจะออกเต็มที่ และเก็บเกี่ยวได้ 200 กิโลกรัม
ช่วงเวลาที่ผ่านมาในกลุ่มประเทศอาเซียน ตลาดคราฟท์เบียร์เติบโตอย่างก้าวกระโดด คือมีความต้องการมากเป็น 2 เท่า ทำให้ความต้องการฮอปส์เติบโตไปด้วย ณัฐชัยจึง ตั้งใจเปิดโรงผลิตเครื่องดื่มที่ใช้ดอกฮอปส์เป็นวัตถุดิบของตัวเอง กำลังการผลิต 1 แสนลิตรต่อปี
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้คราฟท์เบียร์ยังไม่แพร่หลายในไทย เนื่องจากประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง วิธีการบริหารงานสุรา พ.ศ.2543 กำหนดให้โรงงานเบียร์ขนาดเล็ก ต้องเป็นโรงเบียร์ประเภทผลิตเพื่อขาย ณ สถานที่ผลิต และมีปริมาณการผลิตไม่ต่ำกว่า 100,000 ลิตร แต่ไม่เกิน 1 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งผู้ผลิตรายย่อยยังผลิตได้ไม่ถึง 1 แสนลิตร จึงไม่สามารถผลิตเพื่อจำหน่ายได้