นี่เป็นหนังภาคแยกของ Star Wars ที่มีบรรยากาศแตกต่างออกไปกว่าที่เราคุ้นเคย มันเป็นหนังสงครามที่มันสะใจ และ หนังแฟนตาซีจินตนาการเหลือล้นที่ดูสนุกมาก
ความวิตกกังวลของแฟนภาพยนตร์สงครามกาแล็กซีที่มีมาแล้ว 2ไตรภาคในรอบราวๆ 40 ปี และเพิ่งเริ่มไตรภาคที่ 3 ไปเมื่อปีที่แล้ว เกี่ยวกับภาพยนตร์ภาคแยก Rogue One : A Star Wars Story เท่าที่ผู้เขียนอ่านความเห็นบนอินเทอร์เน็ตมา หลักๆคือ หนังจะสนุกเหรอ ในเมื่อออกตัวมาตั้งแต่แรกว่า หนังเรื่องนี้ไม่มีบทบาทของ Jedi อย่างที่เราคุ้นเคยในทั้ง 7 ภาคหลักที่เราได้ดูกันมา ซึ่ง Jedi กับ Sith หรือผู้ใช้พลัง “The Force” ด้านสว่าง กับ ด้านมืด ซึ่งเป็นส่วนเนื้อหาแฟนตาซีจ๋าของ Star Wars ที่ผสมผสานกับเนื้อหาเรื่องสงครามและการเมืองในกาแล็กซีอันไกลโพ้นตามท้องเรื่อง ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังประเภทเดียวกัน และ มีฐานแฟนๆที่แข็งแกร่งมาจนทุกวันนี้
อ่าน : สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนดู Rogue One : A Star Wars Story
ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ก่อนเข้าฉายจริงในโรงภาพยนตร์ทั่วไทย ในวันที่ 15 ธ.ค นี้ และขอใช้โอกาสนี้ยืนยันกับแฟนภาพยนตร์ทุกท่านว่า “สนุกเหนือความคาดหมาย” อย่างมาก – หนังเรื่องนี้มีครบทุกรสชาติที่ทำให้คุณหลงรัก Star Wars หรือ แม้แต่หนังแอ็กชันแฟนตาซีสนุกๆสักเรื่อง ไม่ว่าเป็นความสะใจของฉากต่อสู้ในสงครามอันดุเดือด ความกดดันของทหารในสมรภูมิอันโหดร้าย และ ความมหัศจรรย์ของ The Force หรือพลังที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนในกาแล็กซีอันไกลโพ้น (เมื่อนานมาแล้ว) แม้ว่า Jedi หรืออัศวินด้านสว่างจะถูกกวาดล้างโดยฝ่ายจักรวรรดิ์ไปตั้งแต่ภาค III : Revenge of the Sith จนเหลือเพียงคำเล่าลือ และตำนาน จนกลายเป็นความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้ไปแล้ว
คลิกฟังสัมภาษณ์ : ไปดูมาแล้ว Rogue One A Star Wars Story ใน Podcast World Entertainment 21
เนื้อเรื่องดำเนินโดยมี Jyn Erso สายลับสาวเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเธอเป็นลูกสาวของ Galen Erso นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบความลับของแหล่งพลังงานที่ไม่มีขีดจำกัด โดยพลังดังกล่าวถูกฝ่ายจักรวรรดิ์ (นำโดย Director Orson Krennic เพื่อนสมัยเรียนของ Galen) นำไปใช้เป็นพลังในการทำลายล้างของ Death Star อาวุธที่สามารถทำลายดาวได้ทั้งดวง ซึ่งฝ่ายจักรวรรดิ์ใช้ปกครองกาแล็กซีด้วยความหวาดกลัว แทนที่จะนำไปใช้เพื่อเป็นพลังงานแห่งสันติภาพตามจุดประสงค์ดั้งเดิมของ Galen – โดย Jyn และ พวก ในนามกลุ่ม Rogue One ร่วมรบในสงครามในฐานะฝ่ายกบฎ และ มีภารกิจที่สำคัญ นั่นคือ การช่วงชิงพิมพ์เขียวของ Death Star มาจากฝ่ายจักรวรรดิ์ให้ได้ มิเช่นนั้นหายนะจะมาเยือนกาแล็กซีแน่นอน –นั่นคือเนื้อเรื่องพื้นฐานที่มีการประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว บวกกับเนื้อหาจากหนังสือ Catalyst : A Rogue One Novel นิดหน่อย ไม่ได้สปอยล์หนังแม้แต่น้อย ขณะที่ “ตอนจบ” ทุกคนทราบอยู่แล้วว่ามันจะจบอย่างไร ภารกิจมันต้องสำเร็จสถานเดียว เพราะตอนจบของเรื่องนี้คือการเริ้มต้นของ ภาค IV : A New Hope ภาคแรกที่มีการสร้างเมื่อปี 1977 --- แต่ภารกิจนี้สำเร็จได้ยังไง มันเป็นคำถามคาใจผู้ชมมานานเกือบ 40ปี ซึ่งในที่สุดก็มีคำตอบ และ จุดเชื่อมต่อภาค IV ที่สมบูรณ์และสวยงามสุดๆ
Rogue One ดำเนินเรื่องเร็ว ไม่ยืดยาด แม้มีตัวละครใหม่ๆที่ต้องแนะนำหลายตัว แต่ก็ไม่เสียเวลากับการปูที่มาที่ไปนัก ใช้บทสนทนา และการบอกเล่าของตัวละครนี่แหละในการแนะนำตัวละครแก่ผู้ชม – ที่จริงแล้วผู้ชมที่เพิ่งชม Star Wars หรือ ไม่ได้รู้ที่มาที่ไปของตัวละครมาก่อน อาจสงสัยนิดๆเกี่ยวกับการเชื่อมโยงเนื้อหา แต่มันไม่ถึงกับจำเป็นที่จะต้องอ่าน หรือ ดูอะไรมาก่อนเพื่อทำความเข้าใจเลย เข้าถึงได้ทุกคน แต่มันจะสะกิดต่อมอยากรู้ที่จะนำพาไปสู่การค้นหา หรือ ติดตามอ่าน หรือ ดูซีรีย์ที่เกี่ยวข้องต่อไป
อารมณ์หนังซึ่งบรรยากาศมันคือหนังสงคราม เจือความตื่นเต้นของภารกิจสายลับ ถือว่าเข้มข้น ทุกคนเปรอะเปื้อน ระเบิดภูเขาเผากระท่อม สมจริงสมจัง แต่ไม่ได้ฮาร์ดคอร์ขนาดที่ว่าจะเห็นเลือดสาดกระจาย เหมือน Saving Private Ryan – เด็กๆที่โตหน่อยดูได้ และจะสนุกไปกับอารมณ์ขันและความกวนประสาทของเจ้าหุ่นดรอยด์ K2SO แน่นอน
ฉากที่ได้รับเสียงปรบมือกึกก้องในรอบปฐมทัศน์คือฉากฝูงยานรบของฝ่ายกบฎ เข้าโรมรันกับฝูงยานของฝ่ายจักรวรรดิ์อันชั่วร้ายในอวกาศ ซึ่งถือว่าเต็มอิ่มเหลือเกินสำหรับผู้ที่คลั่งไคล้อากาศยานรูปแบบต่างๆใน Star Wars ขณะที่การปรากฎตัวของ Darth Vader ทุกครั้งช่างน่าเกรงขาม และ “สัมผัสได้ถึงพลัง” จริงๆ
Rogue One เต็มไปด้วยรายละเอียดที่เอาใจแฟนๆ หรือ ที่เรียกว่า Easter Eggs ถ้าใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Star Wars แม้แต่เสียงประกาศในฐานทัพก็สามารถทำให้ท่านอ้าปากค้างได้ เพราะเป็นการเชื่อมโยงเรื่องราวช่วงเวลาเดียวกันที่กระจัดกระจายอยู่ในสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิยาย แอนิเมชันซีรียส์ ได้อย่างแนบเนียน โดยไม่จำเป็นต้องจะแจ้งเกินไปจนทำให้ผู้ที่ไม่ได้ติดตามมาก่อน งงโดยใช่เหตุ แต่สำหรับแฟนเหนียวแน่น ของแบบนี้ถือว่าเป็นโบนัสที่พิเศษจริงๆ
เซอร์ไพรส์มีไหม...มีครับ เซอร์ไพรส์ต่างๆมาถูกที่ถูกเวลา และมีในปริมาณที่พอเหมาะ อาจจะไม่ถึงกับเซอร์ไพรส์หงายหลังเหมือนคราวพ่อ-ลูกตระกูล Solo ในภาค VII : The Force Awakens แต่ก็สามารถทำให้ผู้ชมต้องอุทานว่า..เฮ้ยย..คิดได้ไง...มาได้ไง..หรือทำได้ไงเนี่ย...ได้อย่างแน่นอน