การจับมือกันระหว่างสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษกับอดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้าย IRA เมื่อวานนี้ ได้รับการบันทึกให้เป็นหนึ่งในการจับมือครั้งประวัติศาสตร์ของโลก วันนี้เราจะย้อนกลับไปดูกันว่า ในอดีต มีการจับมือระหว่างผู้นำต่างขั้วครั้งใดบ้าง ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นภาพประวัติศาสตร์ของโลกเช่นกัน
การจับมือ ซึ่งเป็นการทักทายหรือแสดงความยินดีต่อกันตามธรรมเนียมในวัฒนธรรมตะวันตก กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เมื่อผู้ที่จับมือกันเป็นผู้นำระดับโลก โดยเฉพาะที่อยู่ต่างขั้วความขัดแย้ง ไม่ว่าจะในด้านอุดมการณ์ทางการเมือง เชื้อชาติ หรือศาสนา เนื่องการจับมือกันเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการทักทายตามธรรมเนียม แต่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรไมตรีและความสมานฉันท์ ซึ่งบ่อยครั้งนำไปสู่สันติภาพหรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระดับโลก
การจับมือกันครั้งที่ถือว่าโด่งดังที่สุด และเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของการเมืองโลกอย่างแท้จริง ได้แก่การจับมือระหว่างนายโรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ ประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตเมื่อปี 2531 ในการประชุมสุดยอดระหว่างสองประเทศที่พระราชวังเครมลิน กรุงมอสโก โดยการจับมือดังกล่าว ถือเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่นับเป็นจุดสิ้นสุดยุคสงครามเย็นและความหวาดระแวงระหว่างมหาอำนาจแห่งโลกเสรีนิยมและคอมมิวนิสต์
ส่วนภาพการจับมือกันระหว่างนายยิตซัก ราบิน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และนายยัสเซอร์ อาราฟัด ผู้นำปาเลสไตน์ โดยมีนายบิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯอยู่ระหว่างกลางภาพนี้ ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นภาพประวัติศาสตร์แห่งสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยว่าภาพนี้สามารถสะท้อนบทบาทการเป็นตัวกลางในการเจรจาสันติภาพของนายคลินตันได้อย่างสวยงาม
อีกภาพประวัติศาสตร์แห่งสันติภาพ ได้แก่ภาพการจับมือระหว่างนายเฟรเดอริก วิลเลม เดอ เคลิร์ก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และนายเนลสัน แมนเดลา ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากการคุมขังเพียง 3 เดือน ในระหว่างการประกาศแผนการสันติภาพเพื่อยุติการแบ่งแยกสีผิวและการปกครองโดยเสียงส่วนน้อยของคนขาวในประเทศ ซึ่งนับเป็นชัยชนะของนายแมนเดลาและประชาชนเชื้อสายแอฟริกันในแอฟริกาใต้ หลังการต่อสู้อันนองเลือดยาวนานหลายสิบปี โดยหลังการจับมือครั้งประวัติศาสตร์นี้ 4 ปี นายแมนเดลาก็ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของประเทศ
ถึงแม้ว่าภาพการจับมือเหล่านี้ จะได้รับการบันทึกให้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ในฐานะประจักษ์พยานที่เป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการผูกมิตรระหว่างผู้นำประเทศหรือคู่ขัดแย้งในอดีต แต่เวลาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นในหลายกรณีว่า ภาพบางภาพ อาจเป็นเพียงการ "สร้างภาพ" ของผู้นำ แต่ไม่ได้สะท้อนถึงนโยบายที่จริงใจในการสร้างสันติภาพก็เป็นได้