เกษตรกรในจังหวัดสระบุรี ปรับพื้นที่นาข้าวส่วนใหญ่มาปลูกเผือก ลดการใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทำการเกษตร
ต้นเผือกเรียงรายสวยงามชูช่อสูง แสดงถึงการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเก็บเกี่ยวออกสู่ตลาดในอีก 1 เดือนหน้า เกษตรกร 3ตำบล ในอำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี เปลี่ยนพื้นที่นาข้าว 1,500 ไร่ มาทำนาเผือก 1,000 ไร่ พร้อมลดการใช้สารเคมี เตรียมเข้าสู่กระบวนการ "เผือกปลอดสารเคมี" ให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยมี "สมศรี เพ็งรุ่ง" ผู้เริ่มต้นการทำนาเผือกและถ่ายทอดให้คนในชุมชน จนสร้างรายได้ปีละหลายแสนบาท เพิ่มเติมจากการทำนาข้าวไรซ์เบอรี่ ที่สร้างรายได้ไม่แพ้กัน
เธอบอกว่า ช่วงแรกเริ่มการทำนาเผือก ต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง 100% เนื่องจากเผือกเป็นพืชต้องการน้ำสูง เกิดปัญหาเชื้อราได้ง่าย จึงจำเป็นต้องใช้ อีกทั้งขนาดของเผือกยังเติบโตตามการบำรุงด้วยปุ๋ยเคมี ช่วยให้ขายได้ราคาดี ทำให้ต้นทุนในขณะนั้นค่อนข้างสูง อยู่ที่ 35,000 บาท ราคาที่จำหน่ายตั้งแต่ 10-50 บาทต่อกิโลกรัม แต่ปัจจุบัน พยายามลดการใช้สารเคมีลง และใช้ปุ๋ยจากน้ำหมักชีวภาพ ต้นทุนลดลงเหลือ 20,000 บาท ผลของเผือกมีขนาดเล็กลงบ้าง ราคาอยู่ที่ 25 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งก็พออยู่ได้ เพราะขนาดของเผือกขึ้นกับหลายปัจจัย ทั้งปริมาณน้ำที่เผือกต้องการ , เชื้อราขึ้นใบเผือก และฤดูกาล แต่นางสมศรี ยังไม่ท้อ ใช้องค์ความรู้แบบชาวบ้าน ดูแลผลผลิต
ข้อดีของการทำนาเผือก คือสามารถปลูกได้ทั้งปี ไม่จำเป็นต้องรอปีการผลิตเหมือนข้าว แต่ถึงอย่างนั้นเกษตรกรในพื้นที่ก็ยังไม่ทิ้งการทำนา ซึ่งที่นี่คือนาข้าวไรซ์เบอรี่ ปลูกใกล้กันกับนาเผือก
ธ.ก.ส.ผู้ซึ่งใกล้ชิดกับเกษตรกร ได้ให้ความช่วยเหลือในเรื่องสินเชื่อและความรู้เรื่องการหาตลาด จนปัจจุบันเผือกเหล่านี้ มีกลุ่มพ่อค้ามาซื้อถึงที่ และได้ราคาดี
ชุมชนในตำบล ตลาดน้อย , หรเทพ และโคกใหญ่ เตรียมจัดทำโครงการปลูกถั่วเขียวบำรุงดิน เพื่อลดความเข้มข้นของสารเคมีที่ตกค้างในดินโดยใช้ธรรมชาติของรากถั่วเขียวช่วยบำรุงและล้างสารพิษในดิน เพื่อปลูกเผือกไร้สารพิษ 100% ทั้งหมดคือการผสมผสานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช