ไม่พบผลการค้นหา
โลกออนไลน์แชร์ภาพ “หมอกธุมเกตุ” ปกคลุมทั่วกรุงเทพฯ หลัง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สวรรคต สร้างความเศร้าโศกทั่วแผ่นดิน

โลกออนไลน์แชร์ภาพ “หมอกธุมเกตุ” ปกคลุมทั่วกรุงเทพฯ หลัง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สวรรคต สร้างความเศร้าโศกทั่วแผ่นดิน

ค่ำคืนวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559 ประชาชนทั้งแผ่นดินร่ำไห้หลังทราบข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สวรรคต ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “หมอกธุมเกตุ” ซึ่งจะเกิดขึ้นในสถานการณ์สำคัญที่สูญเสียพระมหากษัตริย์ คราวล่าสุดที่มีการบันทึกไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5 สวรรคต โดย หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงเขียนเล่าถึงหมอกธุมเกตุ ในคราวเคลื่อนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตไปยังพระบรมมหาราชวัง ไว้ว่า

"...บรรยากาศในการเคลื่อนพระบรมศพออกจากพระราชวังดุสิตผ่านพระบรมรูปทรงม้าไปตามถนนราชดำเนินไปยังพระบรมมหาราชวังเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย พระบรมศพในพระโกศทองกั้นด้วยฉัตรสีขาวขลิบทองค่อย ๆ เคลื่อนออกจากประตูพระที่นั่งพระราชวังดุสิตเวลาประมาณ 19.00 น. มีการตัดสายไฟออกเพื่อให้ยอดพระยานมาศสามารถผ่านไปได้สะดวก ไฟฟ้าที่เคยสว่างอยู่ก็พลันมืดมิด แต่ทางการได้เอาตะเกียงมาติดกับปลายไม้ไผ่ดวงชวาลาให้แสงสว่างแก่ขบวนพระบรมศพ

ประชาชนที่รู้ข่าวสวรรคตก็พากันนุ่งขาวและนุ่งดำมาปูเสื่อเรียงรายสองข้างทางถนนราชดำเนินเพื่อถวายความจงรักภักดีเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระบรมศพแห่งพระผู้ทรงประทานความเป็นไทยอย่างแท้จริงกับคนไทย

ใบหน้าของแต่ละคนมีแต่สีความเศร้าสลดที่เป็นหญิงน้ำตาไหลพรากลงสองแก้มที่เป็นชายแม้ใจแข็งก็ยังมีน้ำตาซึมด้วยความเสียใจ ขบวนพระบรมศพนำหน้าด้วยปี่กลองเครื่องสูงเคลื่อนที่ออกจากประตูพระราชวังดุสิตมุ่งหน้าไปตามถนนราชดำเนินผ่านลานพระบรมรูปทรงม้าไปช้า ๆ

ในขณะนั้นก็มีหมอกสีขาวเกิดขึ้น หมอกนี้ไม่ลอยสูงแต่ลอยเลี่ยอยู่กับพื้นดินเป็นควันสีขาวอ้อยอิ่งอยู่ไปมาและลอยขึ้นมาเกือบจะถึงศีรษะของผู้คน ดังนั้นเมื่อขบวนพระบรมศพผ่านมาจึงตัดหมอกนั้นเข้าไปเหมือนกับราชรถพระอินทร์ที่ลอยลงมาจากฟ้า หมอกนั้นมีความหนาวเหน็บจนจับขั้วหัวใจโบราณเรียกหมอกนี้ว่า “หมอกธุมเกตุ” จะมีขึ้นเมื่อมีเหตุอันใหญ่หลวงขึ้นในแผ่นดิน ครั้งนี้หมอกธุมเกตุลงตั้งแต่หัวค่ำแสดงให้เห็นความวิปริตของดินฟ้าอากาศเหมือนดั่งว่าสมเด็จพระสยามเทวาธิราชจะบันดาลให้เกิดขึ้นเพื่อเป็นการสลดอาลัยในการเสด็จสู่สวรรคัลลัยของพระผู้เป็นมหาราชผู้เลิกทาสในแผ่นดิน

การเฝ้ารอถวายบังคมพระบรมศพนั้นไม่ต้องลุกขึ้นชะเง้อมองว่าขบวนพระบรมศพมาถึงที่ใดแล้ว ทั้งนี้เพียงใช้หูก็พอจะรู้ว่าขบวนเคลื่อนมาใกล้ตัวเองมากเพียงใด ทั้งนี้เพราะเมื่อพระยานมาศเคลื่อนที่ผ่านมาถึงที่ใดเสียงร่ำไห้ก็ดังขึ้นอย่างเซ็งแซ่ บอกให้รู้ได้ในยามนั้นว่าขบวนพระบรมศพใกล้เข้ามาแล้ว ยิ่งเสียงร่ำไห้ได้ยินชัดขึ้นก็แสดงว่าพระยานมาศเคลื่อนที่มาใกล้ตัวเองแล้วเสียงร่ำไห้อันเกิดจากส่วนลึกของจิตใจทวยราษฎร์แสดงให้เห็นถึงความสลดอาลัยต่อการจากไปของพระผู้เป็นดวงประทีปแห่งแผ่นดินเคล้ากับเสียงปี่และกลองอันวิเวกวังเวงทำให้เกิดความสลดสังเวชใจอย่างสุดจะบรรยายได้..."

 

 

 

 

 

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog