ไม่พบผลการค้นหา
อดีตสมาชิกรัฐสภาและนักวิชาการ เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถก้าวก่ายการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาได้

เวทีเสวนา "ปรีดี พนมยงค์ กับ หลักการแบ่งแยกอำนาจในระบอบประชาธิปไตย: ตุลาการ vs นิติบัญญัติ" โดยอดีตสมาชิกรัฐสภาและนักวิชาการ เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถก้าวก่ายการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาได้

 
 
วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดการบรรยายสาธารณะตลาดวิชาการ ในหัวข้อ "ปรีดี พนมยงค์ กับ หลักการแบ่งแยกอำนาจในระบอบประชาธิปไตย: ตุลาการ vs นิติบัญญัติ" โดยนายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เห็นว่าผลพวงจากรัฐธรรมนูญ 2550 ทำให้เกิดตุลาการภิวัฒน์โดยให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญมากจนเป็นอำนาจที่ 4 ของอำนาจอธิปไตย และเมื่อรวมอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเข้ากับองค์กรอิสระทั้งหมดแล้ว ทำให้องค์กรอิสระมีอำนาจเหนือคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา
 
 
ส่วนการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ ปัญหาอยู่ที่การตีความตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ซึ่งการที่ศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่าศาลสามารถรับคำร้องเองได้ ทำให้อัยการสูงสุดไม่มีความหมายและไม่ต้องทำหน้าที่ในการสอบสวน ทั้งที่อัยการสูงสุดวินิจฉัยแล้วว่าการแก้รัฐธรรมนูญไม่เข้าข่ายมาตรา 68 ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญเลือกใช้กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้ในการสั่งชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่คำวินิจฉัยของศาลตามมาตรา 216 และไม่มีผลผูกพันต่อรัฐสภา
 
 
ด้านนายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา ยืนยันว่า อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ เป็นอำนาจที่ต่างฝ่ายต่างใช้ ไม่สามารถก้าวล่วงการใช้อำนาจของแต่ละองค์กรได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจไว้ นอกจากนั้นในปี 2549 นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้มีนายกรัฐมนตรีตามมาตรา7 ซึ่งถือเป็นการได้อำนาจปกครองโดยวิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งขณะนั้นศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าต้องยื่นคำร้องผ่านอัยการสูงสุด
Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog