ผู้เชี่ยวชาญมองว่า หากบริษัทใด ไม่ยอมใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษามาตรฐานในการสื่อสารภายในองค์กรในอนาคต อาจพบกับอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจก็เป็นได้
ปัจจุบันบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกทั้งหลาย ต่างก็ออกข้อบังคับให้พนักงานในบริษัทใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อ สาร โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่า หากบริษัทใด ไม่ยอมใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษามาตรฐานในการสื่อสารภายในองค์กรในอนาคต อาจพบกับอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจก็เป็นได้
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารธุรกิจระหว่างประเทศมาเป็นเวลานาน โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ล้วนกำหนดให้พนักงานของตน เรียนรู้และฝึกการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อความขีดความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ
ศาสตราจารย์เซดาล นีเลย์ จาก Harvard Business School ได้เขียนบทความเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษของบริษัททั้งหลาย ลงใน Harvard Business Review ฉบับเดือนพฤษภาคม 2012 โดยสาระสำคัญของบทความดังกล่าวก็คือ หากบริษัทใด ไม่ยอมใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษามาตรฐานในการสื่อสารภายในองค์กร เมื่อถึงจุดหนึ่ง บริษัทนั้นๆอาจต้องพบกับอุปสรรค
โดยการใช้ภาษาอังกฤษของแต่ละบริษัทนั้น ขึ้นอยู่กับว่า บริษัทนั้นๆดำเนินธุรกิจอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกบริษัทต้องไม่ลืมก็คือว่า การติดต่อสื่อสารระหว่างระหว่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็น และพนักงาทุกคน ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร ผู้จัดการ ไปจนถึงลูกจ้างทั่วไป มีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อการติดต่อประสานงานกับโลกภายนอก
ปัจจุบัน บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Airbus, Daimler-Chrysler, Nokia, Renault, Samsung และ Microsoft สาขาปักกิ่ง ได้ออกข้อบังคับให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสารภายในองค์กร ขณะที่ บริษัทในเดนมาร์กอีก 70 บริษัทก็ประกาศใช้ภาษาอังกฤษแทนภาษาแดนนิช ในการติดต่อสื่อสารภายในองค์กรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ เมื่อไม่กี่ปีก่อน บริษัทรากูเต็น ผู้ให้บริการด้านอินเตอร์เน็ตรายใหญ่ของญี่ปุ่น ก็ได้ปฏิรูปองค์กรใหม่ โดยประกาศว่า บริษัทรากูเต็นจะเป็นบริษัทที่ใช้ภาษาอังกฤษเพียงภาษาเดียวในการติดต่อสื่อสาร ทั้งการส่งอีเมล และการพูดคุยกันภายในบริษัท ซึ่งซีอีโอของรากูเต็นให้สัมภาษณ์ว่า หากรากูเต็นต้องการที่จะประสบความสำเร็จในประเทศอื่นๆ ก็ต้องเริ่มจากการทำให้สำนักงานใหญ่เป็นสากลให้ได้ก่อน และนี่ก็คือที่มาของการปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่
ผลจากการปฏิรูปองค์กรในครั้งนั้น ส่งผลให้รากูเต็น ได้ร่วมงานกับบริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของแคนาดา ซึ่งปัจจุบันรากูเต็นส่งวิศวกรฝีมือดีของบริษัท 7 คน ไปประจำการอยู่ที่เมืองโตรอนโต เพื่อทำงานร่วมกับบริษัทดังกล่าว โดยหลายฝ่ายมองว่า หากรากูเต็นไม่ได้ปฏิรูปองค์กรครั้งใหญ่ ก็อาจจะไม่มีโอกาสร่วมงานกับบริษัทต่างชาติเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์นีเลย์ แสดงความเห็นว่า การปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างกระทันหัน โดยเฉพาะการเน้นย้ำให้พนักงานใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร อาจทำให้พนักงานเกิดความสับสนได้ง่าย ซึ่งจากการศึกษาและเก็บข้อมูลมาตลอดระยะเวลาหลายปี พบว่าพนักงานกว่าร้อยละ 70 ยืนยันว่าไม่ค่อยเข้าใจกับแนวคิดดังกล่าวมากนัก ดังนั้น หากบริษัทใด ต้องการจะปรับเปลี่ยนให้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาหลักในการสื่อสารขององค์กร ก็จำเป็นที่จะต้องวางแผนล่วงหน้าในระยะยาว เพื่อป้องกันการสับสนของพนักงาน
Produced by VoiceTV