เจาะร่าง รธน. ม.49 ป้องกันล้มล้างการปกครอง
มาตรา 49 ของร่างรัฐธรรมนูญ 2559 ถอดแบบมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ 2550 มีสาระสำคัญห้ามบุคคลใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สมมติว่าให้นายก. เห็นว่า การกระทำของนาง ข. เป็นการล้มล้างการปกครอง นายก.สามารถร้องต่ออัยการสูงสุด เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เลิกการกระทำดังกล่าว หากอัยการสูงสุดไม่รับ หรือนิ่งเฉย 15 วัน นายก.สามารถยื่นศาลได้เอง
ทำไมมาตรานี้จึงสำคัญ หากย้อนกลับไปในปี 2555 สถานการณ์ทางการเมืองร้อนระอุอย่างมาก โดยเฉพาะเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาขณะนั้นขอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาสมาชิกวุฒิสภาเป็นระบบเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งเกี่ยวกับพันกับข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครอง
สมาชิกพรรคฝ่ายค้านหรือประชาธิปัตย์ และสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ยืนยันว่า การกระทำของสมาชิกพรรครัฐบาล หรือพรรคเพื่อไทย และสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน เข้าข่ายล้มการปกครอง จึงส่งคำร้องให้อัยการสูงสุดพิจารณา แต่อัยการสูงสุดไม่ได้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ
ผู้กล่าวหาจึงตัดสินใจยื่นต่อศาลด้วยตัวเอง ขณะที่พรรครัฐบาลและนักวิชาการบางส่วนยืนยันว่า ไม่สามารถยื่นคำร้องต่อศาลด้วยตนเอง แต่ต้องให้อัยการสูงสุดพิจารณา
ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ให้ได้มาซึ่งการปกครองโดยมิชอบ หลังปรากฎการเสียบบัตรแทนกัน ตัดสิทธิผู้อภิปรายในรัฐสภา และนำร่างที่เสนอแก้ไขเป็นคนละฉบับกับร่างที่ใช้พิจารณา
มาตรา 49 ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงกำหนดมาตรการไว้ชัดเจน และรัดกุม เพื่อป้องกันการตีความขั้นตอนที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้เนื้อหาที่ถูกตัดออกไปในมาตรา 49 เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรา 68 รัฐธรรมนูญฉบับ 50 คือ ไม่บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเตรียมกำหนดรายละเอียดดังกล่าวไว้ในกฎหมายลูกต่อไป หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติแล้ว
ขณะที่การต่อต้านโดยสันติวิธี กับการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่ปรากฎในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต่างจากที่เคยบัญญัติไว้ในมาตรา 69 รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550
หลังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เห็นว่า มีบทบัญญัติที่ทับซ้อนกัน จึงตัดออก แต่บัญญัติในมาตรา 50 ว่าเป็นหน้าที่ของชาวไทย ในการพิทักษ์ไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข