นับเป็นการโยนข้อเสนอที่ส่งแรงกระเพื่อมให้แวดวงการศึกษาไทยระลอกใหม่ หลังประธานผู้ตรวจการแผ่นดินมองว่า รัฐไม่จำเป็นอุดหนุนค่าเล่าเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปีให้กับเด็กไทยที่ได้เกรดเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 เมื่อจบประถมศึกษาปีที่ 6 โดยเหตุผลสำคัญ นอกจากจะเพื่อทำให้เด็กขยันเรียนขึ้นแล้ว ยังเป็นการจูงใจให้ผู้ปกครองหันมากวดขันลูกหลาน ไม่มัวผลักแต่ภาระทางการเรียนไปให้สถาบันการศึกษาเพียงฝ่ายเดียว
ที่มาของแนวคิด ที่ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เสนอให้เด็กที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แต่เกรดเฉลี่ยไม่ถึง 2.5 เมื่อเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งเท่ากับให้ภาครัฐการลดระยะเวลาการศึกษาภาคบังคับของเด็กไทยเหลือ 9 ปี จากเดิมที่ในร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ในมาตรา 54 ระบุว่า รัฐต้องให้เด็กทุกคนได้เรียนฟรี 12 ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมองว่า สิ่งสำคัญ ไม่ใช่อยู่ที่การให้เด็กได้เรียนฟรีนานเท่าไหร่ แต่ต้องอยู่ที่เด็กได้เรียนอะไร มีความสามารถอ่านออกเขียนได้ และมีทักษะการใช้ชีวิตมากน้อยเพียงใด
ความเป็นไปของแนวทางดังกล่าว ตามทรรศนะของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ต้องเริ่มจากการมีข้อสอบกลาง ที่จะทำให้เกรดเฉลี่ยของเด็กทั่วประเทศมีมาตรฐานเดียวกันก่อน ส่วนจะเป็นตัวเลขเกรด 2.5 หรือต่ำกว่านั้น ค่อยกำหนดทีหลัง รวมถึงจะต้องยกเครื่องที่เกณฑ์การประเมินวัดผลตัวแม่พิมพ์ อย่างครู ด้วยผลคะแนนของเด็ก ไม่ใช่การแข่งขันกันสร้างผลงานโครงการต่างๆอีกต่อไป
แต่ในมุมของกระทรวงศึกษาธิการ ข้อเสนอของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่กำลังเป็น talk of the town ดูคล้ายเป็นเพียงความปรารถนาดีต่อสังคมแบบที่ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้เลย
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการยังมองเห็นช่องโหว่ว่า หากใช้เกรดเฉลี่ย2.5เป็นตัวตัดสิน เด็กที่ครอบครัวมีฐานะก็จะยิ่งหันหน้าไปพึ่งโรงเรียนกวดวิชา ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการได้พยายามกรุยทางมาโดยตลอด
สองฝ่าย สองมุมมอง แต่กลับสะท้อนภาพเดียวกันภาพหนึ่งว่า ทุกวันนี้ ระบบการศึกษา ที่เป็นความหวังในการสร้างอนาคตของชาติ ยังอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง และจำเป็นที่ทุกภาคส่วนจะต้องหยิบยื่นมือเข้ามาเพื่อทำให้เกิดการปฏิรูปในที่สุด