อยากรู้ไหมครับว่า ทำไมฝนตกใหม่ๆ แล้วทำไมถนนถึงลื่น? เปิดทวิตเตอร์มามีภาพอุบัติเหตุเต็มไทม์ไลน์ไปหมด เรามีวิธีป้องกันการลื่นไถลบนถนนด้วยตัวเองมาเสนอ ก่อนอื่นต้องมาทำความรู้จักกับต้นเหตุของการลื่นไถลในกรณีฝนตกกัน
ทำไมถนนถึงลื่น สิ่งสำคัญที่อยู่ตรงกลางระหว่างตัวรถกับถนนก็คือยางรถยนต์ ยางรถยนต์โดนกดทับด้วยน้ำหนักอยู่ติดกับพื้นถนน ก็เกิดแรงเสียดทานขับเคลื่อนไปได้ปรกติ แต่ถ้ามีอะไรมาแทรกตรงกลางระหว่างยางกับพื้นแล้วทำให้แรงเสียดทานนั้นหายไป มันก็จะลื่น
ถนนในกรุงเทพส่วนใหญ่เป็นถนนคอนกรีตราดทับด้วยแอสฟัลต์ที่ผสมด้วยหินบดเรียกกันว่า “แอสฟัลต์คอนกรีต”
แอสฟัลต์ คือวัสดุชนิดหนึ่งมีลักษณะหนืดเหนียว สกัดมาจาก “ปิโตรเลียม” หรือน้ำมันดิบ "แอสฟัลต์คอนกรีต" ที่ใช้ราดถนนคือนำเอาแอสฟัลต์มาผสมกับหินบด สร้างช่องอากาศให้น้ำระบายออกได้ไม่ขังบนพื้นผิว
แล้วทำไมเวลาฝนตกมันถึงลื่นใช่ไหมครับ? อย่างที่กล่าวมาข้างต้นครับ แอสฟัลต์ ถูดสกัดออกมาจากน้ำมันดิบ ฉะนั้นมันก็จะมีความเป็นน้ำมันอยู่นิดๆ น้ำกับน้ำมันมันแยกชั้นกัน เมื่อฝนตก น้ำฝนถ้าระบายออกไม่ทัน มันจะขังเป็นชั้นบางๆอยู่บนผิวถนน ผสมกับฝุ่นบนพื้น คราบไคลของน้ำมันเครื่องรถยนต์ หรือน้ำทิ้งที่รวมไปถึงเศษอาหารปนไปด้วยน้ำมันพืชและน้ำมันจากไขมันสัตว์ที่แม่ค้าสาดลงมา ยิ่งไปกันใหญ่
ข้อดีของแอสฟัลต์ เมื่อเจอกับอากาศร้อนแบบบ้านเราแล้ว หน้าพื้นผิวมันจะมีความเหนียวอยู่นิดๆ ตอนเราขับรถ หน้ายางของล้อรถเจอความร้อนเหมือนกัน ก็จะเหนียวขึ้น เกิดแรงเสียดทานมากขึ้น มันจะเกาะถนนได้ดีขึ้นครับ ข้อเสียของมันก็มี เมื่อมีสถานะเป็นของเหลวนิดๆ มันเลยไหล และย้วยได้ ถ้าเจอ นน.กดทับเยอะๆ เห็นได้จากถนนที่วิ่งข้ามจังหวัด หรือถนนที่มีรถบรรทุกวิ่งผ่านเยอะๆ จะเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก
ถนนคอนกรีตธรรมดาก็เช่นกัน สาเหตุเดียวกับที่อธิบายไปข้างต้น นั่นคือฝุ่น และ คราบไคลน้ำมันเครื่อง จารบี น้ำยาหม้อน้ำ หรือแม้กระทั่งแวกซ์ที่ละลายออกมาจากผิวตัวรถจากรถยนต์ สะสมเอาไว้หลายๆเดือนหลายๆ วันหลายๆ พันคันที่ใช้ถนนเส้นนั้น ไม่ใช่แค่ถนนแอสฟัลต์อย่างเดียว
ต่อกันที่เรื่องยางรถยนต์ ยางรถยนต์เป็นสิ่งเดียวของรถยนต์ที่สัมผัสกับพื้นผิวถนน ยางรถยนต์จึงเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมาก ในขณะฝนตก “ดอกยาง” เป็นพระเอกในการกรุยทางให้น้ำลื่นๆไม่มาแทรกตรงกลางระหว่างยางและพื้นถนน ถ้าดอกยางเราหมด หรือประสิทธิภาพของการรีดน้ำของดอกยางไม่ดีพอ น้ำก็จะเข้ามาแทรกระหว่างหน้าสัมผัสของยางกับพื้นถนน เป็นเหตุให้ลื่น รถเป๋ รถปัด เบรคไม่อยู่
ความทนของเนื้อยาง และดอกยาง แตกต่างกันไปตามยี่ห้อ และรุ่นของยางนั้นๆ แต่โดยทั่วไป เพื่อความปลอดภัยควรเปลี่ยนทุกๆ 4 ปีหรือ 50,000 กิโลเมตร เป็นมาตรฐานที่พอไหวแม้กับยางรุ่นที่แย่ที่สุด บางคนอาจบอกว่าใช้เป็นแสนโลก็ไม่เห็นเป็นไร ดอกก็ยังมี ต้องเตือนว่าดอกยางใครหนา มันก็อยู่ได้นาน แต่เนื้อยางล่ะ เกาะหรือเปล่า
วิธีการเช็คสภาพของยางรถยนต์ด้วยตัวเอง ทำได้ง่ายๆ เพียงสตาร์ตเครื่อง หมุนพวงมาลัยให้หน้ายางหันออกมา แล้วมองหาสะพานยาง ยางที่อยู่ในสภาพใหม่ ตัวดอกจะมีความสูงประมาณ 1/3 ของเหรียญบาท สะพานยางจะอยู่ลึกลงไปในดอก แต่ถ้ายางสึกจนสะพานยางโผล่ขึ้นมาเสมอกับผิวหน้ายางเมื่อไหร่ ก็ควรเปลี่ยน
เช็คความนิ่มของเนื้อยาง ได้ด้วยการใช้เล็บจิกลงไป ว่าแข็งเป็นขุย หรือยังมีความนิ่มอยู่บ้างหรือไม่ ถ้ามีรอยร้าว รอยแตก บิ่น หรือบวม ก็ควรเปลี่ยนเช่นกัน
นี่เป็นการตรวจเช็คให้ตัวเราเองนั้นปลอดภัยก่อนเบื้องต้น ดูแลในสิ่งที่เราทำได้ด้วยตนเองไปก่อน อุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิด เพราะ เสียทั้งเวลา เสียทั้งทรัพย์สิน หรือเสียชีวิต ปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุดครับ
ขอให้ทุกท่านขับรถปลอดภัย มีน้ำใจบนถนน สนุกสนานไปกับรถยนต์คันโปรดของท่านในหน้าร้อนที่ฝนตกนี้ครับ