รายงานของสหประชาชาตินี้ระบุว่า โลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะขาดแคลนอาหาร น้ำ และพลังงาน
รายงานของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่เผยแพร่เมื่อต้นสัปดาห์นี้ระบุว่า โลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะขาดแคลนอาหาร น้ำ และพลังงาน ที่จะสนองตอบความต้องการของประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
รายงานของยูเอ็นคาดหมายว่า โลกจะเพิ่มจำนวนประชากรจาก 7,000 ล้านคนในปัจจุบันเป็นเกือบๆ 9,000 ล้านคนในปี 2040 (พ.ศ. 2573) นอกจากนี้จำนวนประชากรที่อยู่ในกลุ่มชนชั้นกลางจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก โดยคาดว่าจะเพิ่มอีก 3,000 ล้านคนภายในระยะเวลา 20 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้มีความต้องการใช้ทรัพยากรโลกเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ก็จะมีประชากรอีกจำนวนมหาศาลที่ด้อยโอกาสเข้าถึงแหล่งทรัพยากรและจะถูกผลักเข้าสู่ภาวะยากจน ทั้งนี้ มีตัวเลขประมาณการว่า ภายในปี 2030 โลกจะต้องการอาหารเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 50 % และจะต้องการพลังงานเชื้อเพลิงและน้ำสะอาดเพิ่มขึ้นในอัตรา 45 % และ 30 % ตามลำดับ ในขณะที่สภาวะแวดล้อมของโลกเปลี่ยนแปลงไปและทำให้ปริมาณทรัพยากรมีขีดจำกัดมากขึ้น ซึ่งถ้าหากโลกไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ทันท่วงทีก็จะทำให้ประชากรจำนวนมากต้องตกอยู่ในภาวะยากจนและขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
คณะทำงานระดับสูงของยูเอ็นว่าด้วยเรื่องภาวะที่ยั่งยืนของโลกเปิดเผยว่า ความพยายามของนานาประเทศในการที่จะมุ่งไปในทิศทางของการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้นไม่เพียงช้าเกินไปแต่ยังขาดการลงลึก ทั้งยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาคการเมือง ดังนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ รูปแบบการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน แต่หากต้องการจะไปในทิศทางที่กลับกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของเศรษฐกิจโลก "การคิดแต่เรื่องผลกำไรไม่ได้ช่วยอะไร วิกฤติเศรษฐกิจโลกในเวลานี้เปิดโอกาสสู่การปฏิรูปที่สำคัญๆแล้ว" รายงานของยูเอ็นระบุ และย้ำถึงแนวโน้มการขาดแคลนทรัพยากรในอนาคตว่าเป็นวาระที่สำคัญอย่างยิ่ง
แม้ว่าจำนวนประชากรโลกที่ถูกจัดเข้าข่ายยากจนที่สุดจะลดลงจาก 46 % ในปี 1990 (พ.ศ. 2533) เหลือเพียง 27 % ของจำนวนประชากรทั้งหมดในปัจจุบัน และเศรษฐกิจโลกก็มีการขยายตัวมากขึ้นถึง 75 % นับจากปี 1992 เป็นต้นมา แต่วิถีชีวิตของผู้คนยุคใหม่และพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปก็ทำให้มีความต้องการใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นขณะที่ปริมาณทรัพยากรก็มีจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเทียบกับปี 2000 ปัจจุบันโลกมีประชากรที่อยู่ในภาวะขาดแคลนอาหารเพิ่มขึ้น 20 ล้านคน การเพิ่มขึ้นของประชากรและการขยายตัวของชุมชนเมืองทำให้พื้นที่ป่าของโลกลดลงปีละ 5.2 ล้านเฮกตาร์ (เทียบเท่าพื้นที่ประเทศคอสตาริกาทั้งประเทศ) และกว่า 85 % ของปริมาณปลาในแหล่งธรรมชาติของโลกถูกจับขึ้นมาบริโภค ขณะเดียวกัน ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเพิ่มขึ้น 38 % เมื่อเทียบระหว่างปี 1990-2009 ซึ่งนั่นมีผลทำให้โลกเสี่ยงต่อภาวะเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรุนแรงรวมทั้งระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นด้วย
คณะทำงานระดับสูงของยูเอ็นว่าด้วยเรื่องภาวะที่ยั่งยืนของโลกให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลของประเทศต่างๆว่า โลกจำเป็นต้องมีเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่ได้รับความสนับสนุนจากภาคการเมือง และประเทศต่างๆจำเป็นต้องมีนโยบายเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยควรจัดทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คอนนี่ เฮเดอการ์ด กรรมาธิการด้านสภาวะอากาศของสหภาพยุโรป (อียู) ให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานของยูเอ็นว่า เธอคาดหวังว่าประชาคมโลกจะใช้เวทีการประชุมระดับผู้นำที่เมืองริโอ ประเทศบราซิล ที่ชื่อว่างาน "ริโอ+20" ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ เป็นเวทีเริ่มเปิดตัวการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ไปสู่ทิศทางการเติบโตที่ยั่งยืน (เป็นมิตรทั้งต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และชุมชน) ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกกำลังต้องการเป็นอย่างยิ่ง
Source : News Center / Thanonline / variety.thaiza.com