ไม่พบผลการค้นหา
นักวิเคราะห์ประเมินไตรมาส 1/2563 ทิศทางเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง ชี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศและสถานการณ์ต่างประเทศ แนะผู้ส่งออกต้องระวังความเสี่ยง-ไม่เก็งกำไรค่าเงิน-ทางการใช้ทั้งนโยบายการเงินการคลังยันค่าเงิน

สถานการณ์เงินบาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ในสายตานักวิเคราะห์ยังเดินหน้าแข็งค่าต่อเนื่อง โดย 'รุ่ง สงวนเรือง' ผู้อำนวยการผู้บริหารกลุ่มวิจัยและวิเคราะห์ตลาดการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชี้ว่า เงินบาทที่แข็งค่ามีที่มาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ

โดยเกิดจากการเกินดุลการค้าถึงร้อยละ 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเยอะกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆ จนส่งผลกระทบอย่างมากทำให้เงินบาทแข็งค่า

อีกทั้ง แนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีการจับตามองมาตลอดดูจะดีขึ้น และหากทั้ง 2 ประเทศมีข้อตกลงในทิศทางบวกในวันที่ 15 ม.ค. ที่จะถึงนี้ ก็จะส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ขณะที่ 'จิติพล พฤกษาเมธานันท์' นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2562 ที่เงินบาทหลุดกรอบ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการสะท้อนแนวโน้มแล้วว่า ทิศทางจะยังแข็งค่าต่อไป เพราะคนไทยก็ยังถือเงินบาทเป็นหลัก ไม่ได้เอาออกไปลงทุนในต่างประเทศ 

พร้อมกันนี้ ได้ประเมินอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐในช่วงไตรมาสแรก ปี 2563 ไว้ในช่วง 29.60 - 29.70 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ 'รุ่ง' คาดการณ์ไว้ที่ 29.75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ

ใครต้องทำอะไร-ที่ไหน-อย่างไร

แม้ทิศทางเงินบาทจะแข็งค่าต่อเนื่องแต่ 'จิติพล' ยังมองว่าแท้จริงแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีกำลังเพียงพอในการนำค่าเงินกลับมาได้ และชี้ว่าช่วงนี้ ธปท. ก็มีความเกรี้ยวกราดในการใช้นโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

'จิติพล' ชี้ว่า แท้จริงแล้ว ธปท. ยังมีนโยบายอีกมากที่ไม่ได้นำมาใช้ เช่น การปรับเพิ่มอัตราส่วนเงินฝากขั้นต่ำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องถือเก็บไว้เป็นเงินสำรอง (Required Reserve Ratio) การเข้าไปซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และบอกไปตรงๆ ว่านี้เป็นมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) ของประเทศ หรือแม้แต่การปล่อยตลาดไปตามความเป็นจริงและปล่อยให้เงินบาทแข็งไปถึง 28 - 29 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ 

อย่างไรก็ตาม 'จิติพล' มองว่า ธปท. น่าจะใช้การกำหนดเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ไว้ที่กรอบ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะเป็นแนวนโยบายที่สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์น้อยที่สุด

ขณะที่ 'รุ่ง' เสนอความเห็นว่า เงินบาทที่แข็งค่านั้นควรหันมาใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐด้านการลงทุนให้มากขึ้น สนับสนุนการนำเข้าสินค้าเพื่อลดภาวะการเกินดุลการค้า และสร้างความเข้มแข้งในภาคธุรกิจ 

คำฝากถึงผู้ส่งออก

'รุ่ง' ย้ำว่า เมื่อทิศทางบาทแข็งค่าอย่างนี้ ผู้ส่งออกย่อมได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนและอยากเตือนให้มีการประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งฝั่งผู้ส่งออกและผู้นำเข้า เพราะเงินบาทก็อาจมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเช่นเดียวกัน

ขณะที่ 'จิติพล' ชี้ว่า สถานการณ์เงินบาทแข็งค่าของไทย แท้จริงแล้วไม่ได้เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็เกิดขึ้นมาเกือบ 3 ปีแล้ว ตั้งแต่เงินบาทอยู่ในช่วง 36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ จนลงมาอยู่ที่กรอบ 30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะฉะนั้นจึงมองว่าผู้ประกอบการส่งออกส่วนหนึ่งก็น่าจะปรับตัวมาบ้างแล้วและมองเห็นทิศทางในการดำเนินธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม 'จิติพล' ออกมาเตือนผู้ประกอบการส่งออกที่หวังเก็งกำไรจากค่าเงินว่าจะเผชิญหน้ากับความเสี่ยงสูงและมองว่าไม่ใช่ทางเลือกที่ควรทำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง;