หากเอ่ยถึงรายชื่อของสุดยอดนักดนตรีระดับตำนานของโลก เชื่อว่าหลายๆคนคงต้องนึกถึงชื่อของ 'โมสาร์ท' ขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ เสมอ โดยคุณูปการ และมรดกที่เขาได้ทิ้งไว้ให้กับวงการดนตรีโลก ยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้ใดจะปฏิเสธได้ ซึ่งผลงานการประพันธ์เพลงนับพันของเขายังคงถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
'โวล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท' เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2299 ที่เมืองซอลบูร์ก ในจักรวรรดิออสเตรีย บิดาของเขาคือลีโอโปลด์ โมสาร์ท ครูสอนดนตรีและนักแต่งเพลงชื่อดังของออสเตรีย ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนักดนตรีประจำวงดนตรีของอาร์กบิชอปแห่งซอลบูร์ก
โมสาร์ทเริ่มฉายแววความเป็นอัฉริยะทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเขาสามารถเล่นเปียโนได้ เมื่ออายุเพียง 3 ปี และพออายุ 4 ปี โมสาร์ทก็สามารถแต่งเพลงที่พ่อของเขาแต่งค้างไว้จนเสร็จ สร้างความประหลาดใจให้กับพ่อของเขาเป็นอย่างยิ่ง
ในวันเกิดครบ 6 ปี โมสาร์ทได้รับไวโอลินเป็นของขวัญจากบิดา ซึ่งเขาก็สามารถเล่นไวโอลินได้อย่างคล่องแคล่วภายในเวลาไม่กี่วันหลังจากนั้น จึงทำให้ลีโอโปลด์ผู้เป็นบิดาตัดสินใจที่จะสอนดนตรีให้ลูกชายอย่างจริงจังด้วยตัวเอง
โมสาร์ทเริ่มเป็นที่รู้จักในสังคมชั้นสูงของยุโรป จากการที่เขาออกตระเวนแสดงดนตรีร่วมกับบิดาและพี่สาวของเขา ตามราชสำนักต่างๆ และเมื่อเขาได้มีโอกาสแสดงดนตรีถวายเจ้าชายแม็กซิมิเลี่ยนที่ 3 แห่งบาวาเรีย ที่เมืองมิวนิค และพระเจ้าโจเซฟที่ 3 และพระนางมาเรีย เทเรซ่า แห่งออสเตรียที่กรุงเวียนนา ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุเพียง 6 ปี เท่านั้น ทำให้ความสามารถและฝีมืออันไม่ธรรมดาของเด็กชายโมสาร์ทเป็นที่โจษจันไปทั่ว
โมสาร์ท ซึ่งกลายเป็นขวัญใจของแฟนดนตรีทั่วยุโรปที่เรียกเขาว่า 'ผู้วิเศษตัวน้อย' ได้เริ่มต้นแต่งเพลงอย่างจริงจังหลังจากการเดินทางตระเวนเล่นดนตรีกับบิดาครั้งนั้น โดยเขาแต่งเพลงไวโอลินโซนาตรา สำเร็จเมื่ออายุได้ 7 ปี
พออายุได้ 8 ปี เขาก็สามารถแต่งซิมโฟนีได้สำเร็จ และในปีเดียวกันนั้นเอง โมสาร์ทก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของสมาคม 'ฟีลฮาร์โมนิก โซไซตี้' แห่งเมืองโบโลญญ่า ในอิตาลี ซึ่งเป็นสมาคมดนตรีชื่อดังของยุโรป
และที่นี่เอง ที่เขาได้มีโอกาสแสดงดนตรีถวายสมเด็จพระสันตะปาปา เคลมองค์ที่ 14 ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาทรงชื่นชมในความสามารทของเขาเป็นอย่างมาก ถึงกับตั้งเขาให้เป็น 'คาลวาลิแยร์' หรืออัศวินประจำองค์สมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งตามประวัติศาสตร์นั้นมีนักดนตรีที่ได้รับตำแหน่งนี้เพียง 2 คน เท่านั้น
ในตำนายเล่าว่า ในบรรดาสถานที่ต่างๆ ที่โมสาร์ท เดินทางไป เขาหลงใหลประทับใจในความสวยงามและวัฒนธรรมของอิตาลีเป็นอย่างมาก จนเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตและสร้างสรรค์อุปรากรหลายๆเรื่องของเขาในเวลาต่อมา
เมื่อเขาเดินทางกลับออสเตรีย เขาก็ได้เขารับราชการเป็นนักดนตรีในวงดนตรีของอาร์กบิชอปแห่งซอลบูร์ก เช่นเดียวกับบิดาของเขา โดยระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2316 - 2320 ที่เขาประจำอยู่ในสังกัดของท่านอาร์กบิชอป เขาได้แต่งเปียโน คอนแชร์โตขึ้นมากมาย โดยหนึ่งในนั้นก็คือคอนแชร์โตหมายเลข 9 อันโดงดังนั่นเอง
หลังจากที่ท่านอาร์กบิชอปเสียชีวิตลง โมสาร์ทก็ได้เริ่มเดินทางออกแสดงตามราชสำนักต่างๆในยุโรปอีกครั้ง โดยได้รับการตอบรับอย่างยิ่งใหญ่ในทุกๆที่ ที่เขาไปแสดง ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังยิ่งขึ้นไปอีก จนเป็นที่ต้องการตัวของราชสำนักต่างๆ ที่อยากให้เขาไปเป็นนักดนตรีประจำราชสำนัก ตามกระแสนิยมของชนชั้นสูงในยุโรปยุคนั้นที่ชื่นชอบและนิยมอุปถัมภ์ศิลปินเพื่อแสดงถึงรสนิยมอันสูงส่ง ในเวลานั้นชื่อเสียงของนักดนตรีอัฉริยะหนุ่มจากซอลบูรก์กำลังโด่งดังจนฉุดไม่อยู่
โมสาร์ทกลับมายังออสเตรียและได้เข้าเป็นนักดนตรีประจำราชสำนักเวียนนาภายใต้การอุปถัมภ์ของสมเด็จพระจักรพรรดิโจเซฟที่ 2 และที่นี่เองที่โมสาร์ทมีโอกาสได้รู้จักกับโจเซฟ ไฮเดิน อีกหนึ่งสุดยอดนักดนตรีของโลก ซึ่งทั้งคู่ได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด โดยโมสาร์ทได้แต่เพลงอุทิศให้กับไฮเดินหลายเพลงด้วยกัน
ช่วงชีวิตอันรุ่งโรจน์ของโมสาร์ทเริ่มถึงจุดเปลี่ยนเมื่อเขาแต่งงานกับ คอนสตันซ์ เวเบอร์ หญิงสาวชาวเวียนนา โดยทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 6 คน ซึ่งการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของทั้งโมสาร์ทและคอนสตันซ์ รวมถึงภาระที่เพิ่มขึ้นจากสมาชิกในครอบครัวที่มีจำนวนมาก ทำให้สถานะทางการเงินของโมสาร์ทเริ่มเกิดปัญหา
โมสาร์ทต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว เขาแต่งคอนแชร์โต ซิมโฟนี และอุปรากรเป็นจำนวนมาก จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาสุขภาพย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว และในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2334 หลังจากแต่งเพลง 'Requiem' ที่เขาตั้งใจจะเอาไว้ใช้เป็นเพลงงานศพของตนเองได้เพียงไม่กี่วัน โมสาร์ทก็เสียชีวิตลงอย่างกระทันหันด้วยวัยเพียง 35 ปี หลังจากล้มป่วยหลายโรค ทั้งไทฟอยด์ เลือดเป็นพิษและปอดบวม แต่บางกระแสเชื่อว่าเขาถูกวางยาโดยอันโตนิโอ ซาริรี่ คู่แข่งคนสำคัญที่โกรธแค้นโมสาร์ท จากการที่โมสารท์ทำให้เขาต้องถูกขับออกจากราชสำนักเวียนนา
ขณะที่ร่างไร้วิญญาณของโมสาร์ทนั้น ถูกฝังอย่างคนอนาถา ไม่มีแม้แต่ป้ายหลุมศพที่สุสานเซนต์ มารุกซ์ ในกรุงเวียนนา โดยไม่มีญาติมิตร หรือบุคคลผู้เคยห้อมล้อมเขายามมีชื่อเสียงมาร่วมงานศพของโมสาร์ทเลยแม้แต่คนเดียว
แม้ว่าชีวิตอันหวือหวาของอัฉริยะผู้นี้จะแสนสั้น แต่ผลงานและเรื่องราวของชีวิตของเขาก็ยังคงได้รับการถ่ายทอดสู่ชนรุ่นหลังเสมอมา โดยอุปรากรกว่า 200 เรื่อง และบทเพลงกว่า 600 เพลงของเขา ยังคงถูกศิลปินรุ่นหลังคนแล้วคนเล่า นำมาถ่ายทอดอยู่เสมอ
นอกจากนี้ ชีวิตอันโลดโผนของโมสาร์ท ถูกนำไปเขียนเป็นบทละคร แสดงเป็นละครเพลงครั้งแล้วครั้งเล่า โดยครั้งหลังสุดคือภาพยนตร์เรื่อง Amadeus ในปี 2527 ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ในหลายสาขา
ขณะที่คงปฎิเสธไม่ได้ว่า เรื่องราวชีวิตทั้งสุขและเศร้าของคีตกวีชื่อก้องโลกผู้นี้ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลัง สร้างสรรค์ผลงานที่ยิ่งใหญ่มากมาย จนในที่สุด ชื่อของอัฉริยะผู้อาภัพที่มีนามว่า 'โวล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท' ก็ขึ้นทำเนียบ บุคคลสำคัญของโลกคนหนึ่งอย่างแท้จริง
Produced by VoiceTV