ไม่พบผลการค้นหา
"ผมไม่คิดว่า ขบวนการต่อสู้ใดๆ จะวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ได้ ผมไม่คิดว่าการพูดความจริงกันตรงไปตรงมาด้วยเหตุด้วยผล ด้วยหลักการ และที่สำคัญที่สุด ด้วยความปรารถนาดีต่อกันและปรารถนาดีต่อส่วนรวม เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ผมไม่คิดแบบนั้น แต่ผมคิดว่า คนที่อยู่ในขบวนการต่อสู้ต้องมีพื้นที่หัวใจที่กว้างขวาง หรือมีสภาพหัวใจที่แข็งแกร่งพอที่จะเผชิญผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้"

8 ส.ค. 2564 เวลาประมาณ 19.00 น. ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ไลฟ์เฟซบุ๊กกล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกเมื่อ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า ติดตามสถานการณ์พอสมควร เนื่องจากห่วงเรื่องความปลอดภัยของประชาชนหรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ 

เขากล่าวว่า สิ่งที่ต้องเคารพคือ หัวใจสู้และความวีระอาจหาญของคนหนุ่มสาว สู้กันยิบตา ไม่หวาดกลัวอันตราย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองทั้งหมดคงไม่ได้ยุติลงภายหลังการชุมนุมเมื่อวาน หรือแม้แต่การชุมนุมต่อจากนี้ก็ตาม แต่ประชาชนก็จะไม่หยุดสู้ ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ คนหนุ่มคนสาวที่บาดเจ็บหรือที่ถูกดำเนินคดี ขณะเดียวกันเอาใจช่วยให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บให้ปลอดภัย แต่ต้องพูดกันตรงๆ ว่าปฏิบัติการะยะหลังๆ ของเจ้าหน้าที่มันเกินเส้นความพอดี ทำให้อารมณ์ระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการตึงเครียดขึ้นทุกที

"บางทีดูแล้วเขายังไม่ทันได้ทำอะไรกันท่านก็ซัดไปแล้ว อันนี้เป็นเรื่องที่สังคมเขาตั้งคำถาม และมันสูญเสียความชอบธรรมในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งวันหนึ่งวันใดอำนาจรัฐเปลี่ยนมือมาอยู่ฝั่งประชาชน ก็ต้องระมัดระวัง...ว่าประชาชนจะทวงถามความรับผิดชอบ ทวงถามความยุติธรรม เนื่องจากใครที่รับผิดชอบผู้คนเขาจำได้"

ณัฐวุฒิกล่าวว่า หลังการปะทะกันบนถนนจบลง ก็มีความเคลื่อนไหวต่อในสังคมออนไลน์ มีการสนทนาในทวิตเตอร์ วิพากษ์กันไปวิพากษ์กันมาเป็นประเด็นใหญ่จนติดเทรนทวิตเตอร์

"ส่วนตัวผม ผมจะไม่แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายหนึ่งคนใด ผมผ่านการต่อสู้มาพอสมควร ขบวนการต่อสู้มันไม่มีสมบูรณ์แบบ มันล้มลุกคลุกคลาน สู้ไปเรียนรู้ไป ปรับไป เป็นแบบนี้จริงๆ สำคัญก็คือ ผมก็ไม่ได้แน่กว่าเขาเท่าไร ถ้าพวกผมแน่จริง ภาระมันไม่มาตกบนบ่าคนหนุ่มสาวปัจจุบัน ดังนั้นในฐานะของนักต่อสู้ เราเคารพและให้เกียรติกัน เพียงแต่อยากฉายภาพให้เห็นว่า ปรากฏการณ์ทำนองแบบนี้ อย่าได้ถึงขั้นกับว่าจะต้องแตกแยก แตกหักกัน หรือจะต้องผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกันแล้วในเส้นทางการต่อสู้ข้างหน้า อยากให้มองเป็นปรากฏการณ์ปกติธรรมดา"

"งานต่อสู้ทางการเมืองเป็นงานอาสา ไม่ใช่ใครบังคับใครมา ตัวตนบุคคลนั้นจะเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้ จะหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ จะเลิกและถอยห่าง หรือถึงขั้นเปลี่ยนทางก็ทำได้ มันเป็นสิทธิของเขา เปลี่ยนทางแล้วคนจะวิพากษ์วิจารณ์ ไม่พอใจยังไงนั่นเรื่องหนึ่ง แต่เขามีสิทธิ"

“ผมยกตัวอย่างง่ายๆ อยู่ขบวนการต่อสู้มาสิบกว่าปี ครบทุกรส สดทุกเรื่อง เจอมาหมดแล้วสารพัดข้อกล่าวหา ข้อถากถาง การตั้งคำถาม จากฝ่ายตรงข้ามไม่ต้องนับเบอร์รองเท้า เวลามันมา อู้หู สารพัดตีน ทีนี้จากฝ่ายเดียวกันก็ใช่ย่อย เดี๋ยวถามโน่น แซะนี่ วิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ เท็จบ้างจริงบ้าง เข้าใจถูกบ้างเข้าใจผิดบ้าง ก็ว่ากันไป แต่ว่าธรรมดามันเป็นแบบนี้ แต่เราก็เดินกันมาเรื่อยๆ”

“ผมไม่ได้ถือเอาว่าคำวิพากษ์วิจารณ์หรือการตั้งคำถามเหล่านั้น เป็นหลักใหญ่ใจความบั่นทอนกำลังใจหรือหัวใจสู้ ผมเชื่อว่าในทุกคำถามมันมีคำตอบ แม้ไม่ได้ตอบตรงจากปาก แต่คำตอบจะอยู่ในกาลเวลา อยู่ในความจริงซึ่งวันหนึ่งผู้คนจะเข้าถึงและสัมผัสได้ ดังนั้น ที่มีวิวาทะกันบ้าง หรือบางกรณีที่ตามดูไปถึงขั้นมีอารมณ์กันแล้วล่ะ ก็อยากให้กลับมาตั้งหลักกันดีๆ ถ้าเป็นคนรักในประชาธิปไตยด้วยกัน เชื่อมั่นในพลังประชาชนที่ออกมาต่อสู้ด้วยกัน ผมคิดว่ามันต้องหาจุดลงตัว จุดที่จะทำความเข้าใจกันได้ และไม่มีทางที่ในขบวนการต่อสู้จะเห็นด้วยกันไปตลอดทาง ทุกคนทุกผู้นาม ขบวนการต่อสู้ก็วิพากษ์วิจารณ์กันไป ถึงขึ้นทิ่มแทงกันไป ก็แบบนี้ อย่างผมเมื่อสองสามวัน ก็มีพุ่งเข้ามาเหมือนกัน แต่ว่าเฉยๆ ชินเสียแล้วกับบทบาทคนช้ำประจำซอย”

“เป็นการเล่าสู้กันฟังว่า ท่ามกลางการต่อสู้ นักต่อสู้ทุกคนหัวใจต้องหนักแน่นเข้มแข็ง ทั้งแกนนำ ทั้งมวลชน ทั้งฝ่ายสนับสนุน ทุกฝ่ายต้องหนักแน่นไปด้วยกัน แล้วต้องถนอมรักกันไว้ วิจารณ์กันได้ ... แต่ต้องเข้าใจว่านี่คือธรรมดาวิถี ความจริงของชีวิต ถ้าเราไม่เอามาแบก ไม่เอามาไว้กับตัว ให้มันผ่านไป เราก็จะจัดการวิธีคิดได้ง่าย”

“เรารู้ว่าเรายืนตรงไหน เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร ตราบใดก็ตามที่เรายังมองหน้าตัวเอง สบตาตัวเองในกระจกได้โดยไม่ต้องหลบสายตา เรายังสบตาพี่น้องที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันได้โดยไม่ต้องหลบสายตาเวลาพูดเรื่องจิตวิญญาณ พูดเรื่องอุดมการณ์ ก็เดินหน้าต่อไปเถอะครับ แต่เมื่อไหร่ก็ตามเริ่มตะขิดตะขวงใจในตัวเอง ต้องตรวจสอบดีๆ แล้วว่า เธอปันใจหรือเปล่า ในท่ามกลางขบวนการต่อสู้ มันก็มีครบรสหลากหลายอย่างที่เห็น แล้วไม่ต้องห่วง นักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่เป็นตำนานทั้งของไทยของต่างประเทศ ผมเชื่อว่าเขาผ่านวันเวลาพวกนี้มา”

"วันนี้ทุกขบวนการต่อสู้มันอยู่ในเส้นทาง เมื่ออยู่ในเส้นทาง มันก็เป็นแบบนี้แหละ เพียงแต่ว่า มันมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องพึงที่จะเก็บรับบทเรียน สรุปหรือถอดบทเรียนจากสิ่งที่ผ่านมาให้ได้ และเมื่อมีการสรุปหรือถอดบทเรียนแล้วต้องแสดงออกมาให้ได้ว่า มีข้อสรุปที่นำสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เปลี่ยนแปลงรูปแบบ เปลี่ยนแปลงแนวทาง เปลี่ยนแปลงมิติในการต่อสู้อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง แล้วก็ลดผลกระทบในทางลบที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวหรือการตัดสินใจ"

"ต้องบอกต่อไปอีกว่า ในโลกของความเป็นจริง ขบวนการต่อสู้ใดๆ ก็ตามที่ลุกขึ้นมาเผชิญกับอำนาจรัฐได้ระยะหนึ่งแล้ว ยากเหลือเกินที่จะปิดลับความเคลื่อนไหว ปิดลับตัวตน ปิดลับรูปการณ์ขององค์กรจากสายตารัฐได้ โดยเฉพาะในเทคโนโลยีปัจจุบัน ยากมาก เพราะเขามีวิธีในการติดตาม สังเคราะห์ วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล .... กลไกรัฐ ณ ปัจจุบัน ศักยภาพในการส่องหาตัวตน หาความสัมพันธ์ของบุคคล อย่าประมาท อย่าประเมินว่าปิดลับได้ เขารู้ถึงเบอร์รองเท้า แต่วิธีคิด วิธีทำงานทางการเมือง อันนี้ต้องอย่าให้ใครอ่านได้ง่ายๆ"

"ผมไม่คิดว่า ขบวนการต่อสู้ใดๆ จะวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ได้ ผมไม่คิดว่าการพูดความจริงกันตรงไปตรงมา ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยหลักการ และที่สำคัญที่สุด ด้วยความปรารถนาดีต่อกันและปรารถนาดีต่อส่วนรวม เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ผมไม่คิดแบบนั้น แต่ผมคิดว่า คนที่อยู่ในขบวนการต่อสู้ต้องมีพื้นที่หัวใจที่กว้างขวาง หรือมีสภาพหัวใจที่แข็งแกร่งพอที่จะเผชิญผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้"

"อย่างที่บอก สิบกว่าปีที่เดินกันมา เจอกันมากมาย บางช่วงเดินไปข้างหน้าแต่ไม่กล้าหันหลังให้ใครดู รูเต็มไปหมด โดนแทงมา แต่เราก็เดินหน้าของเราต่อไป"

ทั้งนี้ ณัฐวุฒิ ยังประชาสัมพันธ์กิจกรรมนัดหมายประชาชนทุกจังหวัดทั่วประเทศเพื่อเคลื่อนขบวนแสดงพลังไล่ประยุทธ์ด้วยกัน 15 ส.ค.นี้ นัดหมาย 14.00 น. เคลื่อนขบวน 15.00 น.จากคาร์ม็อบเดิม เพิ่มเติมคือมีไฮด์ปาร์กด้วย รวมเป็น "คาร์ปาร์ค" จะมีสีสันฉูดฉาด สาระบาดใจ เชื่อมประสานกับคนรุ่นใหม่ ใช้สันติวิธีในการต่อสู้ เป็นการยกระดับการปราศัยอย่างที่ประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อน และจะขับเคลื่อนต่อเนื่อง

"เราไม่มีศักยภาพหรือขีดความสามารถด้านอื่นมากพอที่จะไปสู้กับอำนาจรัฐด้วยกำลังอาวุธ แต่คำว่า สันติวิธี มันมีการให้นิยามมากมายหลากหลาย ตราบใดก็ตามที่ไม่ทำร้ายทำลายชีวิตกัน เพดานของสันติวิธีก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับของผู้คนและเหตุผลในการให้คำอธิบาย ซึ่งมันใช้ความเจ้าเล่ห์กรอกกลิ้งไม่ได้ เพราะการกระทำและผลของมันประจักษ์แก่สายตาของสังคม แนวทางสันติวิธีเท่านั้นที่เราจะยึดถือเป็นแนวทางหลักในการต่อสู้"