ไม่พบผลการค้นหา
จากเหตุการณ์ "การ์ดสถานบันเทิง" รุมทำร้ายร่างกายลูกค้าในสถานบันเทิงในจ.ภูเก็ต และมีคนเจ็บสาหัส เป็นคนดังและมีดาราดังระดับโลก...เข้าให้ "การ์ด"หรือ "นักเลง"มาคุม

จากเหตุการณ์ "การ์ดสถานบันเทิง" รุมทำร้ายร่างกายลูกค้าในสถานบันเทิงในจ.ภูเก็ต และมีคนเจ็บสาหัส เป็นคนดังและมีดาราดังระดับโลก...เข้าให้ "การ์ด"หรือ "นักเลง"มาคุม

 

ไม่ใช่แค่เรื่องวิวาทกันธรรมดาซะแล้ว เมื่อตระกูล “อิสสระ” นำโดย นายสงกรานต์ และนางศรีวรา อิสสระนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ประกาศจะเอาจริง และไม่ยอมต่อกรณีที่ลูกชาย คือนายวรสิทธิ์ อิสสระ”หรือ “ปลาวาฬ” อายุ 31 ปี นักธุรกิจหนุ่มไฮโซไฟแรงผู้บริหารโรงแรมหรูศรีพันวา ภูเก็ต ถูกเด็กเสิร์ฟและการ์ดของร้านรัชดาผับ ในอ.เมืองจ.ภูเก็ต รุมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตามจับกุมตัวผู้ที่ทำร้ายร่างกายมาดำเนินคดีตามกฎหมายตามความคืบหน้าในข่าวที่มีการนำเสนอกันไปแล้วนั้น

 

 

เรื่องนี้มาขยายวงกว้างไปสู่ระดับโลกขึ้นมาอีก เมื่อมีกระแสข่าวว่า ดาราดัง เจเรมี่ เรนเนอร์”พระเอกหนังฮอลลีวู้ด สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลงานล่าสุดเรื่อง มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ภาค 4ร่วมวงในผับกับกลุ่มของไฮโซปลาวาฬรายนี้ด้วย โดยต่อมาทางสำนักข่าว “E! News” สื่อบันเทิงชั้นนำในสหรัฐ ยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุนายเรนเนอร์ไปเที่ยวที่ร้านรัชดาผับจริง แต่ทันทีที่เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้น นายเรนเนอร์ออกมานอกตัวร้านแล้ว และไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

 

เมื่อเรื่องฉาวกระฉ่อน ก็ย่อมร้อนก้นกันเป็นธรรมดา เพราะหลังจากนั้นมีคำสั่งคุมเข้มจากทาง นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ให้สั่งปิดสถานบันเทิงดังกล่าวเป็นเวลา 90 วันทันที พร้อมกำชับนายอำเภอให้เข้มงวดเรื่องการเปิดปิดให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนดโดยเฉพาะในเขตอ.กระทู้ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และมีสถานบันเทิงอยู่เป็นจำนวนมาก

 

จึงเป็นงานร้อนของตำรวจที่ทั้งจะต้องคลี่คลายคดี และกวดขันความเข้มงวด เพื่อให้ภาพลักษณ์ดีๆกลับคืนมา สู่จ.ภูเก็ต เนื่องจาก ทางนายภูริต มาศวงศ์ศา อุปนายกสมาคมสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว มองว่า การทะเลาะวิวาทในแหล่งท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากการดื่มสุรา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในแหล่งท่องเที่ยวทุกแห่งในโลก แต่ที่พบมักจะเป็นเพียงการชกต่อย แต่จากการใช้อาวุธทำร้ายกันอย่างรุนแรง เข้าข่ายการก่ออาชญากรรมมากกว่า จึงเป็นเรื่องที่เสียหายแน่ เพราะข่าวที่ออกไปมีทั้งโยงไปกับคนดังและดาราระดับโลก

 

ส่วนอีกประเด็นที่มีการระบุว่า ผู้ถูกทำร้ายเข้าไปอยู่ในสถานที่อโคจร เป็นการไปอยู่ผิดที่ ผิดเวลานั้น เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องคงต้องตรวจสอบว่า ตกลงแล้ว “สถานบันเทิง” มิได้สร้างความบันเทิงแล้วหรือ

 

    

 

อย่างไรก็ดี “นักเที่ยว” หรือ “เหยี่ยวราตรี” คงจะคุ้นชินกับภาพของสถานที่อโคจรยามราตรีเหล่านี้เป็นอย่างดี ว่า การออกตระเวนราตรีในผับ บาร์ แตกต่างไปจาก “ลานลีลาศ” ในยุคสมัยก่อนอย่างไร

 

ใช่ว่า “ลานลีลาศ” จะไม่มีตีกัน แต่เป็นแบบที่มีความเป็นลูกผู้ชายพอตัวกันมากกว่า ต่างฝ่ายต่าง “เหนี่ยว” แบบ “เดี่ยว” ใส่กัน จบคือจบ ไม่มีตามพวกรุมซ้ำ อาจจะมีฟาดปากกันแล้ว มาก๊งกันต่อด้วย

 

แต่ในปัจจุบันคงยากที่จะเหลือภาพแบบนั้นอีกแล้ว

 

  

 

สถานบันเทิงวันนี้ อุดมไปด้วยเรื่องคาว เรื่องฉาว เรื่องโฉ่ และเรื่องผิดกฎหมาย หลายอย่าง

 

รู้กันทั่วเมือง แม้กระทั่งวินจักรยานยนต์รับจ้าง

 

ว่ากันตั้งแต่การขอใบอนุญาตดำเนินธุรกิจ ทุกแห่งคงไม่ได้มี “ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานบริการ” อย่างถูกต้อง บ้างก็มีแค่ใบอนุญาตจำหน่ายอาหาร จำหน่ายสุรา เบียร์ บุหรี่ เพราะสิ่งเหล่านี้มีความแตกต่างกัน

 

เพราะตาม พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 จำแนกไว้ ตามมาตรา 3 ว่า "สถานบริการ"หมายความถึง สถานที่ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการ โดยหวังประโยชน์ในการค้า ดังต่อไปนี้
          (1) สถานเต้นรำ รำวง หรือรองเง็ง ประเภทที่มีและประเภทที่ ไม่มีหญิงพาร์ตเนอร์บริการ
          (2) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา น้ำชา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่าย  และบริการ โดยมีหญิงบำเรอสำหรับปรนนิบัติลูกค้า หรือโดยมีที่สำหรับพักผ่อน หลับนอน หรือมีบริการนวดให้แก่ลูกค้า
          (3) สถานอาบน้ำ นวด หรืออบตัว ซึ่งมีผู้บริการให้แก่ลูกค้า
          (4) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา น้ำชา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่าย  โดยจัดให้มีการแสดงดนตรี หรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง

 

อีกทั้ง ใบอนุญาตยังต้องมีการต่ออายุกันปีต่อปี โดยต้องยื่นขอต่อกับเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ในการดูแล ซึ่งต้องไปไล่เรียงกันตามกฎหมายให้ถูกต้อง

 

นอกจากนี้ เมื่อมีคนมาก เข้าไปใช้บริการ จากเริ่มเข้าไป “คนมา” แต่เข้าไปแล้วองค์ลงจะกลายเป็น “คนเมา” บางรายดูเรียบร้อยแต่แอลกอฮอล์ได้ที่ จะกลายเป็นห้าวเป้งขึ้นมาทันที

 

  

 

ดังนั้น สถานบันเทิงจึงจำเป็นต้องมีคนดูแล หรือเรียกกันว่า “การ์ด” เพื่อทำหน้าที่ตั้งแต่การตรวจตราอาวุธ สกรีนคนมาเที่ยวตั้งแต่แรกเข้า รวมทั้งดูแลความเรียบร้อยของแขกที่มาเที่ยวตั้งแต่ร้านเปิดจนร้านปิด วัตถุประสงค์เพื่อให้ลูกค้าส่วนใหญ่ได้สมประสงค์สนุกครื้นเครงอย่างครบถ้วน ส่วนแขกรายไหนออกฤทธิ์เดช ก็จำเป็นต้องถึงมือ “การ์ด”ในการเข้าดูแล ควบคุมให้เหตุการณ์สงบ เรียบร้อย

 

“การ์ดสถานบันเทิง” มีทั้งคนมีสี ที่เจียดเวลานอกราชการ หรือบางคนจะ “เบียด”เวลาราชการมารับจ๊อบก็มีบ้าง การเป็นคนมีสี จะมีข้อดีอย่างหนึ่งที่สถานบันเทิงนิยมใช้บริการ เนื่องจากถือเป็นบุคคลที่มีอำนาจตามกฎหมาย เพราะเพียงแค่เอาเสื้อซาฟารีออก เอาชุดเครื่องแบบมาใส่ก็ “แปลงร่าง” ทำงานได้ถูกต้องตามกฎหมาย ถือว่าอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่

 

ที่สำคัญที่สุด คนมีสี ส่วนใหญ่จะมี “อาวุธประจำกาย” พกได้ถูกต้อง แม้จะมีกฎหมายห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่พกพาอาวุธ แต่กฏหมายเรื่องแบบนี้ ใช้ได้ดีเมื่อก้าวเข้าบ้าน หรือต่อหน้าเจ้านาย เพราะต้องเก็บให้ดี ยิ่งถ้าเข้าบ้านผิดเวลา อำนาจการถือครองอาวุธอาจเปลี่ยนไป

 

พอมีเครื่องแสดงอำนาจ จึงมี “พลัง”ในการเบ่ง เข้าไปทำงานลักษณะแบบนี้ได้ ว่าไปแล้ว บางรายก็ถือปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างเคร่งครัด มีวินัยในงาน อาทิ การไม่ดื่มสุรา การไม่มั่วสุมกับพนักงานในร้าน การไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย แต่มาทำงานเพื่อควบคุมความเรียบร้อยอย่างดีและเต็มที่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ร้าน และรักษาความสงบให้บ้านเมือง เป็นการแบ่งเบาภาระงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปในตัว

 

 

“การ์ด”แบบนี้ มีจริง และบางคนอยู่ยาวเป็นสิบปี จนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในสถานบันเทิงนั้นๆ นักเที่ยวขาประจำบางรายเมื่อมาถึงต้องมาคาราวะ ราวกับไหว้เจ้าที่ก่อนเข้าไปเที่ยว คนแบบนี้เจ้าของกิจการก็ชอบ นักเที่ยวก็อยากรู้จัก เพราะเชื่อว่าจะมีคนคอยคุ้มกะลาหัว เวลาเข้าไปเมากร่าง ทั้งกันไม่ให้ไปเหยียบเท้าชาวบ้าน และไม่ให้คนต่างถิ่นมาลูบก้นเอาได้

 

จาก “การ์ดจริง” ที่ทั้งมีสีและไม่มีสี ยังมี “การ์ด (ลูก)กระจ๊อก” พวกนี้จะติดสอยห้อยตามคนมีสี จนเนียน และบางรายก็ดันไปมีคำนำหน้าชื่อตัวเอง เช่น เป็น “จ่า” เป็น “ดาบ” เป็น “หมวด” กันบ้างตามศรัทธา แต่พอไปดูชื่อในทำเนียบสำนักงาน กลับไปพบหน้าตา หรือชื่อของคนเหล่านี้ เจอได้แต่ตามหน้าผับ หน้าสถานบันเทิง พวกนี้ถ้าได้หัวแถวดี ก็พอทน แต่ถ้ามีพวกให้ท้ายยิ่งไปกันใหญ่ บางแห่งเบ่งจนตัวเป่งไม่พอ ยังคอยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักเที่ยว โดยเฉพาะยามที่ต้องตาใน “เป้าหมาย” เดียวกัน แล้วเคลียร์กันไม่ลง จากเป็นการ์ด เลยจะกลายเป็นอริกันไป

 

ยิ่งได้น้ำเปลี่ยนนิสัยเข้าไป บางครั้งคุมตัวเองไม่อยู่ ความนิ่งยังไม่ดีพอ จึงกลายเป็นชนวนปัญหาให้กับสถานบันเทิงนั้นๆอยู่เป็นประจำ แทนที่จะกลายเป็น “การ์ด” กลับกลายเป็น “นักเลง” คุมผับไปซะงั้น

 

ถ้าหากใครที่เคยไปต่างประเทศ หรือได้ชมตามภาพยนตร์จะเห็นมาดของการ์ดในสถานบันเทิง ที่จะเป็นคนตัวโตๆแต่สุภาพ (ไว้ก่อน) จะคอยเช็กชื่อลูกค้าที่เข้ามาเที่ยว รวมทั้งตรวจความเรียบร้อยเรื่อง รถยนต์ การเดินทางกลับของลูกค้า เป็นต้น รวมทั้งคอยดูแลความเรียบร้อยในแต่ละจุดภายในร้าน มิให้เกิดอะไรที่จะเป็นชนวนความวุ่นวาย

 

จากข่าวที่เกิดขึ้นนั้น คำแถลงของแพทย์ผู้ให้การรักษา นายวรสิทธิ์ อิสสระคงพอเห็นภาพแล้วว่า “การ์ด” และพนักงานบริการ ที่ประเคนเข้าใส่ “ไฮโซ” รายนี้ หวังเป้าประสงค์อันใด อีกทั้งการกระทำการลงมือภายในสถานบันเทิงนั้นๆ ยิ่งสะท้อนให้เห็นพฤติกรรม หรือมาตรฐานในอาชีพของตัวเองว่าดีพอแค่ไหน เพราะเจ้าของร้านจ้างมาเป็น “การ์ด” แต่ดันมา “กัด” ไม่เลือก เสื่อมเสียไปถึงชื่อ จังหวัดภูเก็ต แหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

 


 

 

คงต้องดูว่า สุดท้ายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดีเรื่องนี้อย่างไร ใครจะผิดจะถูก คงต้องให้กระบวนการทางกฎหมายไปจัดการ และมาตรฐานในการควบคุมสถานบันเทิงต่างๆจะเป็นอย่างไร อย่าเข้มเพียงแค่ภูเก็ต หรือแค่ทำงานตามข่าวเท่านั้น

 

เพราะไปสถานบันเทิงมันก็เสี่ยงเข้าไปในที่อโคจรอยู่แล้ว แต่ก็อย่าให้ต้องเสี่ยงกันถึงชีวิตเลย.

 

ทีมข่าววอยว์ทีวีออนไลน์ : รายงาน

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog