ไม่พบผลการค้นหา
ย้อนไป 7 ปีที่ผ่านมา หลังคืนวันคริสมาสต์ วันแห่งความสุขของคริสตศาสนิกชน ที่บางส่วนได้ข้ามน้ำข้ามทะเล มาตักตวงความสุข และดื่มด่ำกับธรรมชาติที่งดงาม บนชายหาด ฝั่งทะเลอันดามัน

ย้อนไป 7 ปีที่ผ่านมา หลังคืนวันคริสมาสต์ วันแห่งความสุขของคริสตศาสนิกชน ที่บางส่วนได้ข้ามน้ำข้ามทะเล มาตักตวงความสุข และดื่มด่ำกับธรรมชาติที่งดงาม บนชายหาด ฝั่งทะเลอันดามัน

 

แต่พลันรุ่งเช้าในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 สิ่งที่ไม่คาดคิดก็อุบัติขึ้น เมื่อน้ำทะลเหือดหายไปในมหาสมุทร อย่างกะทันหัน ก่อนที่จะถูกส่งตัวกลับมาในทันใด ในรูปของคลื่น “สึนามิ”โถมเข้าทำลายชายฝั่งอย่างย่อยยับ แม้กระทั่งปลาก็ยังไม่ทันได้รับรู้สัญญาณภัยธรรมชาติที่รุนแรงในครั้งนั้น

 

 

เป็นปรากฏการณ์คลื่นยักษ์ หลังเกิดแผ่นดินไหวจุดศูนย์กลางอยู่ในทะเล ใกล้กับเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย วัดความรุนแรงได้ถึง 9.3 ริกเตอร์ ซึ่งได้สร้างคลื่นยักษ์สึนามิ อนุภาพทำลายสูง เป็นวงกว้างกระทบในหลายประเทศ ไกลไปถึงชายฝั่งทวีปแอฟริกา

 

แผ่นดินไหวที่กินเวลายาวนานกว่า 8 นาที ปล่อยพลังงานออกมาเท่ากับระเบิดที่เมืองฮิโรชิมา 62,000 ลูกหรือเท่ากับพลังงานที่สหรัฐอเมริกาใช้ในสองสัปดาห์ แนวแยกของเปลือกโลกความยาว 1,200 กิโลเมตร ปริแยกจากใต้ขึ้นเหนือด้วยความเร็วกว่า 8,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

 

คลื่นสึนามิลูกแรกที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งนั้นซัดเข้าใส่จังหวัดบันดาอาเจะห์ประเทศอินโดนีเซีย ภายในไม่ถึง 20 นาที โดยที่คลื่นในเกาะสุมาตราสูงถึงกว่า 100 ฟุต

 

เหตุการณ์ครั้งนั้น มีรายงานยอดผู้เสียชีวิต เฉพาะในส่วนของประเทศไทย จำนวน 5,396 คน สูญหาย 2,951 คน บาดเจ็บ 8,457 ราย กว่าครึ่งของผู้เสียชีวิตและสูญหายพบว่าเป็นชาวต่างชาติ

 

แม้ว่าการฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองจะกู้กลับมาได้เป็นปกติทั้งหมด แต่ก็ยังพบว่าผู้บาดเจ็บทางกายและใจ ยังคงมีร่องรอยแห่งความบอบช้ำ หลังเหลืออยู่

 

  

 

7 ปีที่ผ่านมา หลายคนในช่วงนั้น ที่ต้องสูญเสียพ่อ หรือแม่ หรือญาติพี่น้อง เริ่มเติบโตขึ้นมาใช้ชีวิตได้เข้มแข็งมากขึ้น แต่ก็ต้องใช้เวลาในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆมาให้ได้ เราเชื่อว่าด้วยกำลังใจที่หลั่งไหล จะสามารถช่วยลบเลือนความบอบช้ำลงไปได้บ้าง

 

อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงในครั้งนั้น ได้นำมาซึ่งความร่วมมือและการช่วยกันและกัน เราได้เห็นทั้งนักการเมืองต่างพรรค มาร่วมมือกันช่วยกันบริหารศูนย์บรรเทาทุกข์ใน จ.กระบี่ , พังงา , ระนอง และภูเก็ต แม้ว่าพื้นที่เหล่านี้จะอยู่ในสายของพรรคประชาธิปัตย์ แต่นักการเมืองในตอนนั้น ก็สวมหัวใจไทยอย่างเต็มตัว ทำงานด้วยความร่วมมือกันได้ดีระดับหนึ่ง ในการที่จะดูแลผู้ที่ประสบทุกข์

 

การได้เห็นการบริหารจัดการ งานช่วยเหลือและงานกู้ภัยของรัฐบาลไทยในตอนนั้น ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องยอมรับว่าแม้ไม่ได้ดีที่สุด แต่ถือว่าการบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด การมอบหมายงานให้มี “ผู้จัดการ”ในงานแต่ละด้านอย่างชัดเจน ภายใต้การประสานงานที่ได้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย จากทางทหาร ข้าราชการทุกกรม ทุกกระทรวง ภาคประชาชนอาสา จากฝ่าย ช่วยให้การแก้ปัญหา ที่เป็นเรื่องใหม่ทั้งสิ้น ที่ประเทศไทยไม่เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ พอได้ผ่านไปได้อย่างคล่องตัวระดับหนึ่ง

 

  

 

และสามารถคลายเงื่อนปมเรื่องยากไปได้พอสมควร โดยเฉพาะเรื่องการจำแนกอัตลักษณ์บุคคล ที่อาจเป็นธรรมดาที่ องค์ความรู้ต่างกันของหน่วยงาน หรือคนที่เข้าไปทำงาน ย่อมทำให้มองแตกต่างกันไปบ้าง แต่เมื่อทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน การเห็นต่างจึงเป็นเพียงเรื่องมุมมองเท่านั้น ปรับเข้ากันได้งานก็เดินหน้าต่อ

 

ภาพของความอลหม่านของในช่วงแรก เชื่อว่า ผู้คนที่มีโอกาสได้เข้าไปช่วยงานในครั้งนั้น คงจำกันได้ดี ว่า ต้องเจอต้องผ่านอะไรกันมาบ้าง

 

อาทิ คำบอกเล่าของ บุคลากรทางการแพทย์ ในโรงพยาบาลตะกั่วป่า จ.พังงา ในตอนนั้น สะท้อนว่า ทุกคนต่างก็สับสนว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครรู้ข้อมูลใดๆทั้งสิ้น มีแต่เห็นภาพว่ามีแต่การลำเลียงผู้บาดเจ็บเข้ามาจนล้นโรงพยาบาล ทุกตารางนิ้วถูกกลายเป็นพื้นที่ปฐมพยาบาล ไม่เว้นแม่แต่โต๊ะทำงาน ที่ต้องใช้มือกวาดอุปกรณ์สำนักงานออฟฟิศทิ้งเกลี้ยง เพื่อแปลงโต๊ะทำงานเป็นเตียงสนาม พื้นที่ริมระเบียงทางเดิน ก็เต็มไปด้วยคนเจ็บ ที่มีสายน้ำเกลือห้อยโตงเตง แม้กระทั่งพื้นอาคาร ก็มีเพียงช่องเล็กเพื่อให้แพทย์ พยาบาลได้พอขยับร่างกาย เพื่อช่วยผู้ประสบภัยแต่ละคน

 

  

 

และทุกแรงในโรงพยาบาล ทั้งที่ต้องเข้าเวรและไม่เข้าเวร หรือคนที่ลา ถูกเรียกระดมพล มาช่วยงานกันทั้งหมด กว่าจะตั้งหลักกันได้ กว่าจะเตรียมแผนกันได้ ก็เกือบค่ำ

 

หรืออย่าง ภาพของเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยอาสาสมัคร ที่ระดมเข้าพื้นที่เพื่อหวังช่วยผู้ที่ยังรอดชีวิต ต่างสะท้อนไปทางเดียวกันว่า “เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้”ภารกิจที่ต้องเร่งหา “คนเป็น”และก็ต้องช่วยบริหารจัดการ “คนตาย”เป็นงานที่หนักหน่วงอย่างที่สุด ราวกับว่าไม่รู้จะเสร็จวันไหน คำว่า “เหนื่อย”สำหรับคนเหล่านี้ ถือว่าน้อยไปสำหรับงานในตอนนั้น แต่ทุกคนก็ข้ามผ่านไปได้ และยังรีดเรี่ยวแรงจนภารกิจต่างๆลุล่วงไปได้

 

ยังมีอีกมากมายที่บรรยายไม่จบ ภาพของนักเรียนนานาชาติกลุ่มหนึ่ง ที่ระดมทุนทรัพย์กันเอง ขอไปเป็น “ล่ามอาสา”คอยช่วยเหลือชาวต่างชาติตามหาญาติ เป็นภาพการสะท้อน “หัวใจโจ๋”ที่ “เจ๋งจริง”ชนิดที่ต้องซูฮกในความเสียสละ

 

  

 

และก็เชื่อว่า ผู้คนเหล่านั้นที่ได้ร่วมใจ ร่วมมือ และร่วมแรง ในการช่วยเหลือกันและกัน คงจะได้ยิ้มออก เมื่อเห็นว่า ผู้ที่ประสบภัย เริ่มกลับมาเข้มแข็งในวันนี้ที่ผ่านมาแล้ว 7 ปี ได้อีก

 

อย่างไรก็ดี ความกังวลเรื่องการเตรียมการรับมือกับภัยสึนามิ ยังเป็นที่กังวลอยู่ การเกิดขึ้นของ “ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ”ที่หวังเป็นหน่วยงานหลัก ที่จะคอยมอนิเตอร์ และส่งสัญญาณเตือนให้ประชาชนในพื้นที่เคยประสบภัย ซึ่งได้กลายเป็นพื้นที่เสี่ยง ได้พร้อมที่จะอพยพ หากยังคิดปัก���ลักอยู่ในพื้นที่ที่เคยประสบภัย ก็ถือเป็นหน่วยงานที่เป็นความหวัง

 

แม้จะมีคำแนะนำตามหลักการที่ระบุว่า ในพื้นที่ที่เคยประสบภัยสึนามิ เป็นพื้นที่เสี่ยง และไม่ควรเข้าไปอยู่อาศัย แต่ต้องยอมรับว่าในความเป็นจริงคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากพื้นที่ชายหาด เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และยังเป็นแหล่งสร้างรายได้ การห้ามคนเข้าไปอยู่ อาจทำได้ยาก

 

แต่หากมีการให้ข้อมูลว่าระดับคลื่นเคยแรงอย่างไร ระดับน้ำที่โถมเข้าหาฝั่งสูงขนาดไหน รวมทั้งเส้นทางหนีภัย และขั้นตอนเป็นอย่างไร หากมีการสร้างความเข้าใจให้เป็นไปในทางเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐควรดำเนินการให้ชัดเจนในเรื่องนี้

 

และผ่านมาแล้ว 7 ปี ควรมีการถอดประสบการณ์และบทเรียนในการทำงาน เพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการในสภาวะเสี่ยงภัยธรรมชาติแบบนี้ได้อีก เพราะเชื่อว่าจากนี้ไปเราคงต้องอยู่กันในแบบ “เตรียมพร้อมเผ่น”เนื่องจากธรรมชาติที่แปรปรวนมากขึ้น การรับมือจึงทำได้ไม่ง่ายเหมือนเดิมๆอีกแล้ว

 

สิ่งสำคัญ ต้องสร้างความรู้ ให้ผู้คนอยู่ได้ และรับมือได้ด้วยการประเมินสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง ตามแต่ละพื้นที่ ตามแต่ละภัยที่ต้องเจอ โดยมีรัฐเป็นผู้ให้ข้อมูลอย่างชัดเจนที่สุด รวมทั้งมีแผนปฏิบัติการที่แม่นยำ เพื่อร่วมกันบรรเทาทุกข์

 

เป็น “ประชา-รัฐ หัดเรียนรู้ สู้ภัยด้วยกัน”น่าจะดีที่สุด ที่พอจะทำได้กับการรับมือกับภัยธรรมชาติ

 

ทีมข่าววอยซ์ทีวีออนไลน์ : รายงาน

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog