ค่ำคืนของวันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม น่าจะเหมือนกับวันเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่เหมือนเช่นทุกๆวัน สภาพการจราจรบริเวณสี่แยกราขประสงค์หนาแน่นตามปกติ เพราะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของไทย ผู้คนทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดำเนินกิจวัตรประจำวัน จับจ่ายใช้จ่ายสอย มีจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจเดินทางมาสักการะศาลท้าวมหาพรหม ตามความเชื่อถือศรัทธา
แต่พลันที่เวลาเดินทางถึง 18.55 น. บึม !!!
เสียงระเบิดดังกึกก้องออกมาจากรั้วศาลพระพรหม สิ้นอานุภาพของระเบิด คือ เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของผู้ได้รับบาดเจ็บดังระงม ร่างผู้บาดเจ็บซึ่งส่วนใหญ่อากาศสาหัสนอนกระจัดกระจาย ส่วนร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ที่น่าสะพรึงกลัวคือ ชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์กระจายเต็มบริเวณ ไม่กี่นาทีต่อมา เสียง “ไซเรน” ของรถพยาบาล หน่วยกู้ภัย รถเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารเดินทางเข้าพื้นที่ ภารกิจแรกคือ การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง
อาสาสมัครกู้ภัยจากมูลนิธิร่วมกตัญญูรายหนึ่งเล่าวว่า เขาสะเทือนใจกับภาพที่ปรากฎเบื้องหน้า เพราะผู้บาดเจ็บหลายคนเป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่มากันเป็นคู่ หลายคนสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปต่อหน้าต่อหน้า หญิงสาวต่างชาติรายหนึ่งที่เขาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ ยังกอดแขนที่ขาดออกจากร่างของชายคนรักไม่ยอมปล่อย จนต้องพยายามอธิบายให้เธอยอมไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ระเบิดมีกี่ลูกกันแน่ ???
ภารกิจสำคัญที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ การเก็บกู้วัตถุระเบิด โดยเจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิด หรืออีโอดี ที่ระดมกันมาทั้งตำรวจ และทหาร โดยเป็นการทำงานท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงไฟส่องสว่างจากรถปั่นไฟที่จอดอยู่กลางสี่แยกราชประสงค์ บรรยากาศการทำงานเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เพราะเกรงว่าจะมีระเบิดลูกที่ 2-3 ที่ซุกซ่อนไว้ตามมา ไม่ไกลจากจุดที่ชุดอีโอดีทำงาน มีรถตัดสัญญาณจอดอยู่ใกล้ ๆ เพื่อทำหน้าที่ตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ หรือวิทยุสื่อสาร ที่อาจทำให้เกิดระเบิดซ้ำขึ้นมาอีก
รายงานข่าวจากหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด ระบุว่า วัตถุระเบิดที่คนร้ายในก่อเหตุเป็นได้ทั้ง “ทีเอ็นที” หรื”ซีโฟร์”กำลังรอผลการพิสูจน์จากห้องปฏิบัติการ มีน้ำหนักราว 3-5 ปอนด์ เป็นระเบิดที่ทำงานสมบูรณ์แบบ ในที่เกิดเหตุพบลูกปลายลักษณะกลมคล้ายลูกปืนรถจักรยานยนต์ มีความกว้าง 0.66 มม. เป็นส่วนประกอบระเบิด สันนิษฐานเบื้องต้นว่าระเบิดน่าจะประกอบจากต่างประเทศ
อีกประเด็นที่ถูกตั้งคำถาม คือ ระเบิดที่เกิดบริเวณสี่แยกราชประสงค์มีกี่ลูกกันแน่ รายงานเบื้องต้นข้อมูลสับสน แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยืนยัน ระเบิดมีเพียงลูกเดียวที่ทำงาน คือบริเวณศาลพระพรหม
ส่วนระเบิดจักรยานยนต์บอมบ์เก็บกู้ได้ เช่นเดียวกับวัตถุต้องสงสัยที่หน้าห้างเกษรพลาซ่าแต่สื่อมวลชนเริ่มตั้งคำถามกับ ภาพของมอร์เตอร์จำนวนมากที่เสียหายจากแรงระเบิดว่าคล้ายกับมอร์เตอร์ไซค์บอมบ์หรือไม่ และร่างแหลกเหลวของผู้เสียชีวิต เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นระเบิดฆ่าตัวตาย คำถามเหล่านี้น่าจะมีคำตอบที่ชัดเจนจากผู้ที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง
อีกภารกิจหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องทำงานหนัก คือการกันผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่เกิดเหตุ เพราะนอกจากจะกระทบต่อการเก็บหลักฐานแล้ว อาจเกิดอันตรายกับบรรดา “ไทยมุง” หากเกิดระเบิดตามมาอีก
กล้องวงจรปิด จับภาพชายต้องสงสัยได้
กล้องวงจรปิด หรือ CCTV เฉพาะภายในศาลท้าวมหาพรหม มีไม่น้อยกว่า 5 ตัว จับภาพชายต้องสงสัยคล้ายชาวต่างชาติ ใส่แว่นตา สวมเสื้อยืดสีเหลือง กางเกงสามส่วน สะพายเป้สีเข้ม เดินเข้าไปในศาลพระพรหม แล้วนั่งที่ม้านั่งอยู่ระยะหนึ่ง โดยนำกระเป๋าเป้ที่นำด้วยวางไว้ใต้ที่นั่ง แล้วลุกออกไปโดยที่ไม่ได้นำกระเป๋าเป้ออกไปด้วย หลังจากนั้นไม่กี่นาที “ เสียงระเบิด” ก็ดังขึ้น !!!
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่รับชายผู้ต้องสงสัยมาจากซอยมหาดเล็กหลวง เดินทางเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะปกปิดข้อมูลและรับประกันความปลอดภัยผบ.ตร.ยอมรับว่า เบื้องต้นมีการยกคดีระเบิดที่ซอยสุขุมวิท 71 เมื่อปี 2555 ซึ่งมีชาวอิหร่านเป็ฯผู้ต้องหามาเทียบเคียง
ไทยดับ 6 - ต่างชาติตายแล้ว 12
ข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปยอดผู้เสียชีวิต 20 ราย บาดเจ็บ 125 ราย
ส่วนรายชื่อผู้เสียชีวิต 20 ราย จาก สถาบันนิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีดังนี้
1. น.ส.สุดชาดา นิสีดา เพศหญิง สัญชาติไทย
2. น.ส. วราภรณ์ ช่างทำ เพศหญิง สัญชาติไทย
3. น.ส.น้ำอ้อย แสงจัง เพศหญิง สัญชาติไทย
4.น.ส.ปราณี เร่งงาน เพศหญิง สัญชาติไทย
5. นายยุทธณรงค์ สิงห์รอ เพศชาย สัญชาติไทย
6. นายสุวรรณ สัตย์มั่น เพศชาย สัญชาติไทย
7. .Mr.Neoh Jaijun เพศชาย สัญชาติมาเลเซีย
8. Mr.Lee Tze Siang เพศชาย สัญชาติมาเลเซีย
9. Miss Lim Saw Sek เพศหญิง สัญชาติมาเลเซีย
10..Lee Going Xuan เพศหญิง สัญชาติมาเลเซีย
11..Mrs.Lioe Lie Tging เพศหญิง สัญชาติอินโดนิเซีย
12. Miss Pang Wan Chee Arcadia เพศหญิง สัญชาติฮ่องกง
13. Miss Chan Wingyuan Vivian เพศหญิง สัญชาติฮ่องกง
14..Mrs.Melisa Liu Rui Chum เพศหญิง สัญชาติสิงคโปร์
15.Ga0 Yuzhu เพศหญิง สัญชาติจีน
16.Mr.Diwo Chengi เพศชาย ไม่ทราบสัญชาติ
17.หญิงชาวต่างชาติไม่ทราบชื่อ
18. ชายชาวต่างชาติไม่ทราบชื่อ
19. ชิ้นส่วนกระโหลกศีรษะ ไม่ทราบเพศ ไม่ทราบสัญชาติ
20.ชิ้นส่วนลำตัวบน ไม่ทราบเพศ ไม่ทราบสัญชาติ
ท่าทีของรัฐบาล และ คสช.
สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง อ้างคำพูด พลเอกประวิตร ว่า ผู้ที่ก่อเหตุมีเป้าหมายที่ “ชาวต่างชาติ” มุ่งทำลายเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย และขณะนี้สามารถจำ���ัดกลุ่มผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ลงมือก่อเหตุได้แล้ว
ช่วงเช้าหลังเกิดเหตุนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมผ่านระบบวีดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ กับทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เพื่อประเมินสถานการณ์ โดยพลเอกประยุทธ์แสดงความเสียใจต่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และประณามว่าเป็นการกระทำของ “คนเลว” พร้อมชี้แจงว่า ยังไม่สรุปว่าเหตุนระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของกลุ่มใด พร้อมร้องขอความร่วมมือจากสื่อมวลชน และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย อย่านำเสนอข่าวในทิศทางชี้นำการทำงานของเจ้าหน้าที่
ปฏิกิริยาจากนานาชาติ
นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุง แห่งสิงคโปร์ และนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แห่งอินเดีย เป็น 2 ผู้นำคนแรกที่ออกมาประณามการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุระเบิด และแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทุกราย พร้อมคาดหวังว่า ทางการไทยจะนำตัวผู้ก่อเหตุระเบิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว
นายบันคีมูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ออกแถลงการณ์ว่ารู้สึกตกใจกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นที่กรุงเทพทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตของผู้บริสุทธิ์ และแสดงความหวังว่า จะสามารถนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ขณะที่สหภาพยุโรป แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ขอให้ผู้บาดเจ็บฟื้นตัวโดยเร็ว พร้อมส่งกำลังใจมายังประชาชนชาวไทยที่ตกอยู่ในภาวะตกใจและความเศร้าโศก
รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน สั่งการสถานทูตจีนประจำประเทศไทยตั้งศูนย์ประสานงานและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เพราะมีชาวจีนเสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 28 ราย
นายจอห์น เคอร์บีย์ โฆษกประจำกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ระบุว่า ขณะนี้เร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเหตุระเบิดที่กรุงเทพ เป็นการโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย โดยเจ้าหน้าทีทางการไทยกำลังสืบสวนหากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ และยังไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือมายังรัฐบาลสหรัฐ
นานาทรรศนะการก่อการร้าย- หรือการเมืองภายใน ???
ต้องยอมรับว่า “สี่แยกราชประสงค์” เป็นศูนย์กลางสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศไทย มีห้างสรรพสินค้าเรียงรายอยู่หลายแห่ง ทั้งเกษรพลาซ่า เซนทรัลเวิร์ล สยามพารากอน แต่เมื่อปี 2553 สี่แยกราชประสงค์ก็กลายเป็น “สัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางการเมือง” ระหว่างสีเสื้อ เพราะในช่วงความขัดแย้งการเมืองภายในประเทศครั้งรุนแรงตั้งแต่ปี 2548 หลายสถานที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการชุมนุมไม่ว่าจะเป็น ทำเนียบรัฐบาล สถานบินสุวรรณภูมิ สถานบินดอนเมือง สี่แยกราชประสงค์
ความแตกแยกที่ร้าวลึกในสังคมไทยทำให้หลังสิ้นเสียงระเบิดสี่แยกราชประสงค์ไม่นาน เสียงแห่งการประณามชี้นิ้วกล่าวร้ายที่แฝงด้วยอคติทางการเมืองดังกึกก้องไม่แพ้อานุภาพของระเบิด โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ที่กลายเป็นแหล่งการกระจายข่าวทั้งจริง- เท็จ บวก- ลบ ได้อย่างรวดเร็วและมีอานุภาพรุนแรง
โจนาธา มาร์คัส ผู้สื่อข่าวด้านการเมืองและความั่นคงของ บีบีซี เป็นนักข่าวต่างประเทศคนแรกๆ ที่วิเคราะห์เหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ โดยมองว่า เป็นระเบิดรุนแรงในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองหลวงของประเทศไทย แม้อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย แต่การต่อสู้ที่ยือเยื้อกับรัฐไทยมานานกว่า 10 ปี กลุ่มแบ่งแยกดินแดนก็ไม่เคยมีเป้าหมายโจมตีในกรุงเทพฯ
ผู้สื่อข่าวของบีบีซี วิเคราะห์ว่า หากเป็นระเบิดอันเกิดจากการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง ก็ไม่เคยมีความรุนแรงเช่นนี้มาก่อน และมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเป็นการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มติดอาวุธในประเทศไทยกับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง เช่นกลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอเอส
โจนาธา เป็นนักข่าวคนแรก ๆ ที่ตั้งข้อสังเกตุ เรื่องความเชื่อมโยงกับชาวมุสลิมอุยกูร์ เพราะรัฐบาลไทยเพิ่งส่งตัวชาวอุยกูร์กว่า 100 คน กลับประเทศจีนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จนทำให้รัฐบาลไทยถูกประณามจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน เพราะ มุสลิมอุยกูร์เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศจีน มีความแตกต่างด้านชาติพันธ์ทั้งภาษาและวัฒนธรรม แต่เขาก็ระบุว่า ยังไม่มีความเคลื่อนไหวของชาวอุยกูร์ระดับรุนแรงนอกประเทศจีน
หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 กรกฏาคม ชาวตุรกี 200 คนบุกเข้าไปทำลายกงสุลไทย ณ นครอิสตันบูล เพราะไม่พอใจที่ทางการไทยส่งตัวชนกลุ่มน้อยมุสลิมอุยกูรย์ ให้กับรัฐบาลจีน จนต้องมีการปิดบริการสถานกงสุลไทยและยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยที่สถานเอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงอังการา ทั้งยังมีคำเตือนให้คนไทยในตุกรีระมัดระวังความปลอดภัย
ที่ไม่น่ามองข้ามคือข่าวเล็กๆข่าวหนึ่งเมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม ที่ผ่านมา สายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ เที่ยวบืนTK065 พร้อมลูกเรือและผู้โดยสาร 148 คน บินจากรุงเทพไปยังนครอิสตันบูล ต้องลงจอดฉุกเฉินที่ท่าอากาศยานกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เพราะมีข้อความขู่ว่า 'ระเบิด' เขียนอยู่หน้ากระจกภายในห้องน้ำเครื่องบิน
นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี 2558 ที่สายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ถูกขมขู่ในลักษณะนี้
แต่ในทัศนะของอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติอย่างนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ มองว่า หากย้อนดูประวัติศาสตร์ทั้งหมดไม่เคยได้ยินข่าวว่าชาวอุยกูร์ ว่าระเบิดนอกพื้นที่ ส่วนใหญ่จะเป็นการขว้างปา ใช้มีฟัน ต้องมีการวิเคราะห์ระเบิดที่นำมาใช้และการต่อวงจร จึงจะเชื่อมโยงผู้กระทำความผิดได้
กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช เสนอความเห็นทางวิชาการว่าด้วยทฤษฎีก่อการร้ายสมัยใหม่ โดยตั้งคำถามเป็น 4 ประเด็น พร้อมพยายามหาคำตอบว่า ทำไมกรุงเทพฯจึงตกเป็นเป้าหมาย
1.ลักษณะตำแหน่งทำเลการวางระเบิดมีนัยยะสำคัญ ใกล้สำนักงานตำรวจ ฯ บ่งบอกความหมายเชิงสัญลักษณ์ เพราะขบวนการก่อการร้ายเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีลักษณะรุนแรงก้าวร้าว และแฝงด้วย “สัญลักษณ์ทางการเมือง” อยู่เสมอ นัยยะที่สอง ตำแหน่งที่เลือกวางระเบิด มีลักษณะการก่อการร้ายแบบหลังยุค 9/11 คือ หวังให้เกิดเหยื่อจำนวนมาก
2.การก่อเหตุลักษณะนี้ในกรุงเทพ ฯ อาจเป็ฯหมุดหมายใหม่ของรูปแบบการก่อการร้ายในไทย ซึ่งอาจถือเป็นรูปแบบการก่อการร้ายเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เพราะเงื่อนไขสำคัญของการก่อการร้ายคือ “คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่”
3.เป้าหมายของกลุ่มผู้ก่อเหตุต้องการให้ “ความหวาดกลัว” กระจายวงกว้างที่สุด จึงต้องพยายาม”ดิ้นตามเกมส์.ให้น้อยที่สุด
4.การต่อต้านการก่อการร้ายด้วย กำลัง ความรุนแรง หรือการก่อการร้าย ไม่เคยนำมาซึ่งบทสรุปที่ดี จึงควรพยายามทำความเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของอีกฝ่าย และหาทางออกด้วยการไม่ใช้กำลัง
ย้อนรอยเหตุระเบิดกรุงเทพ
ช่วงกว่า 10 ปีของความขัดแย้งทางการเมืองที่ลุกลามบานปลายเป็น “สงครามสีเสื้อ” และทำให้เกิดการรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง คือ ในปี 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. และคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ คสช. ในปี 2557 “ระเบิด” ได้ถูกใช้เป็น เครื่องมือทางการเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน
เฉพาะปี 2558 ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของคสช.มีระเบิดตเกิดขึ้น 3 ครั้ง
ระเบิดลูกล่าสุดก่อนระเบิดทีราชประสงค์คือ กลางดึกวันที่ 7 มีนาคม มีการปาระเบิดเข้าไปในศาลอาญารัชดาภิเษก ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 มีการวางระเบิดชนิดแสวงเครื่อง 2 ลูก หลังหม้อแปลงไฟฟ้าบริเวณทางเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส แม้จะมีหลักฐานภาพชายต้องสงสัยจากกล้องวงจรปิด แต่จนถึงขณะนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้
หากย้อนลำดับระเบิดป่วนเมืองเกิดขึ้นครั้งแรกช่วงปลาย “รัฐบาลทักษิณ” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รอยต่อรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งถือเป็นช่วงอึมครึมการเมือง โดยระเบิดป่วนเมืองเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2549 เป็นเหตุระเบิดบริเวณทางเท้าข้างตู้ยามหัวมุมรั้วบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
วันที่ 27 มีนาคม 2549 มีคนร้ายนำระเบิดแสวงเครื่องทีเอ็นที น้ำหนักเกือบ 1 ปอนด์ จุดชนวนด้วยการตั้งเวลาให้ระเบิดในเวลา 12.00 น. ลอบวางไว้ที่ข้าง “อาคารควง อภัยวงศ์” ใน “พรรคประชาธิปัตย์” แต่โชคดีที่มีการตรวจพบและเก็บกู้ได้ก่อน
วันที่ 4 พฤษภาคม 2549 ช่วงเวลาเช้าตรู่เกิดเหตุคนร้ายขว้าง “ระเบิดขวด” ใส่เต็นท์ของกลุ่มผู้ชุมนุมที่นอนพักอยู่หน้าอาคารศรีจุลทรัพย์ ที่ตั้ง “สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง”( กกต.)
วันที่ 23 พฤษภาคม 2549 คนร้ายได้วางระเบิดที่ ถ.ราชดำเนินนอก 2 แห่ง คือบริเวณ “ซุ้มเฉลิมพระเกียรติฉลองสิริราชสมบัติ” แรงระเบิดทำให้ฐานซุ้มที่เป็นไม้แตกหัก และอีกจุด คือ เกิดระเบิดที่บริเวณศาลาพักผู้โดยสารหน้าศูนย์สวัสดิภาพเด็ก เยาวชนและสตรี(ศดส.) แรงระเบิดทำให้ฝาครอบเสาไฟฟ้ามีรอยไหม้และมีกลิ่นเหม็นไหม้
วันที่ 24 มิถุนายน 2549 เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่ทำการของพรรคไทยรักไทย ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ หลังมีคนร้ายปาระเบิดเข้าใส่ แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และจากการสอบสวนเชื่อว่าเป็นการป่วนสร้างสถานการณ์เท่านั้นเหตุระเบิดครั้งต่อมาคงไม่มีใครลืมเลือนได้ เพราะเป็นเหตุระเบิดใหญ่ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน 9 จุด ในช่วงคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2549-2550 โดยเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพน และนนทบุรี มีประชาชนผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บล้มตายหลายราย
จากนั้นไม่นานเหตุระเบิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้เครื่องยิงระเบิดยิงถล่มบริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ที่ตั้งสำนักงาน หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ถ.วิภาวดีรังสิต ในวันที่ 30 มกราคม 2550
วันที่ 9 เมษายน ในปีเดียวกัน (2550) ก็เกิดเหตุบึ้มเมเจอร์รัชโยธิน แต่โชคดีที่เหตุการณ์ครั้งนี้มีเพียง “ตู้โทรศัพท์” ได้รับความเสียหาย
คืนวันที่ 30 กันยายน 2550 ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีก คราวนี้คนร้ายลอบวางระเบิด รั้วแดงกำแพงเหลือง หัวมุมกำแพงกองบัญชาการกองทัพบก(บก.ทบ.) ติดกับโรงเรียนแผนที่ทหาร ถนนราชดำเนินนอก
ที่บอกว่าเป็นการลูบคมกระตุกหนวดเสือก็เพราะ พื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดยุทธศาสตร์คลาคล่ำไปด้วยเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ก็ไม่ทำให้เป็น “เขตปลอดระเบิด” ได้ และเหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นเหตุระเบิดส่งท้ายปี 2550
ปี 2551 ซึ่งก็ยังมีความวุ่นวายทางการเมืองตลอดทั้งปี วันที่ 7 ตุลาคม เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง โดยเป็นระเบิดรถยนต์หรือคาร์บอมบ์ ในรถจี๊ป เชโรกี สีขาว จอดไว้บริเวณใกล้รัฐสภา พบผู้เสียชีวิตคือ พ.ต.ท.เมธี แก้วมนตรี หรือ “สารวัตรจ๊าบ” เป็นผู้นำรถมาจอดไว้
ทิ้งช่วงห่างไปเป็นปีเหตุระเบิดป่วนกรุงก็เกิดขึ้นอีกครั้งคราวนี้จัดหนักจัดถี่ขึ้นกว่าคราวก่อน เพราะเป็นเหตุการณ์ที่บ้านเมืองไม่ปกติ มีการชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลหลายจุด
เปิดศักราชปี 2553 ก็เกิดเหตุระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2553 หลังมีคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้ามาที่ตึกกองบัญชาการกองทัพบก บริเวณห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553 เกิดเหตุป่วนเมือง 2 จุด เริ่มที่มีการขว้างระเบิดเอ็ม 76 เข้าไปยังธนาคารกรุงเทพ สาขาพระราม 2 แต่ระเบิดไม่ทำงาน และมีการขว้างระเบิดเอ็ม 26 เข้าไปที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนสีลม ซึ่งสามารถจับคนร้ายได้ 2 คน เป็น “กลุ่มเสื้อแดง” และในคืนเดียวกัน คนร้ายขว้างระเบิดไม่ทราบชนิด เข้าไปยังธนาคารกรุงเทพ สาขาพระประแดง ทำให้กระจกธนาคารได้รับความเสียหาย
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 เกิดเหตุขว้างระเบิดเอ็ม 67 เข้าไปที่ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาศรีนครินทร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่เก็บกู้ไว้ได้
วันที่ 15 มีนาคม 2553 มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปที่กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์(ร.1 รอ.) จำนวน 6 ลูก แต่ทำงานเพียง 4 ลูก ทำให้กำลังพลบาดเจ็บ 2 นาย
วันที่ 16 มีนาคม มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่บ้านเลขที่ 22/18 ซอยลาดพร้าว 23 ไม่ปรากฎว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
วันที่ 19 มีนาคมเกิดเหตุยิงระเบิดเอ็ม 16 ใส่บ้านประชาชนภายในซอยทองหล่อ 3 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ
วันที่ 20 มีนาคม 2553 คนร้ายใช้ระเบิดเอ็ม 67 ขว้างใส่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี และเวลาไล่เลี่ยกัน คนร้ายยิงจรวดอาร์พีจี ใส่กระทรวงกลาโหม ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ออกหมายจับคนร้าย 2 คน คือ ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม และนายศุภรัฐ หรือโก้ หุลเวช อายุ 43 ปี
วันที่ 22 มีนาคม 2553 คนร้ายปาระเบิดเอ็ม 67 ใส่แขวงการทางธนบุรี ท้องที่ สน.บางพลัด
วันที่ 23 มีนาคม 2553 ยิงเอ็ม 79 ใส่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี และคนร้ายขว้างระเบิดเอ็ม 67 ใส่กรมบังคับคดีบางขุนนนท์ ท้องที่ สน.บางขุนนนท์
วันที่ 24 มีนาคม 2553 เกิดเหตุปาระเบิดบริเวณตู้ควบคุมไฟฟ้าริมรั้วของศาลากลาง จ.นนทบุรี ไม่ปรากฎความเสียหาย และเกิดเหตุขว้างระเบิดเอ็ม 67 บริเวณเสาไฟฟ้าริมรั้วของกรมบังคับคดีเขตตลิ่งชัน
วันที่ 26 มีนาคม 2553 เกิดเหตุปาระเบิดเอ็ม 67 ใส่สำนักงานอัยการสูงสุด
วันที่ 27 มีนาคม 2553 เกิดระเบิดหลายจุด ได้แก่ ยิงเอ็ม 79 ใส่ร้านบ้านลุงใหญ่ , ยิงระเบิด เค 75 ใส่อาคาร 120 ปี กรมศุลกากร , พบระเบิดเอ็ม 67 จำนวน 2 ลูก บนถนนนวมินทร์ , ขว้างระเบิดเอ็ม 67 ใส่สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 , ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เป็นต้น
วันที่ 28 มีนาคม 2553 เกิดเหตุยิงเอ็ม 79 ใส่กรมทหารราบที่ 11 , ปาระเบิดเอ็ม 67 ใส่บ้านนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี
วันที่ 30 มีนาคม 2553 มีเหตุปาระเบิดเอ็ม 67 ใส่อาคารมูลนิธิรัฐบุรุษ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
วันที่ 3 เมษายน 2553 เกิดระเบิดที่ชุมสายโทรศัพท์ทีโอที สาขาผดุงกรุงเกษม และกองขยะริมทางเท้า หน้าบ้านเลขที่ 260-262 ถนนหลานหลวง
วันที่ 4 เมษายน 2553 ระเบิดคาร์บอมบ์ สถานอาบอบนวดโพไซดอน เป็นระเบิดแสวงเครื่องชนิดทีเอ็นที มีรถยนต์เสียหาย 1 คัน ตำรวจออกหมายจับ นายอัครเดช สุขลักษณ์ ชาว จ.เชียงราย
วันที่ 6 เมษายน 2553 คนร้ายยิงเอ็ม 79 ใส่บ้านเลขที่ 48 หมู่บ้านมงคลนิเวศน์ ซอยวิภาวดีรังสิต 44 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.ตำรวจมุ่งปมธุรกิจ
วันที่ 7 เมษายน 2553 คนร้ายปาระเบิดเอ็ม 26 ถล่มป้อมที่ทำการตำรวจชุมชน (ศูนย์อยู่เย็น) ถนนนวมินทร์ และนำถังน้ำยาดับเพลิงบรรจุปุ๋ยยูเรียผสมน้ำมันดีเซลและวงจรนาฬิกา วางใกล้ห้างแฟชั่น ไอส์แลนด์
วันที่ 8 เมษายน 2553 ยิงเอ็ม 79 และเอ็ม 16 ถล่มที่ทำการพรรคการเมืองใหม่ ถนนพระสุเมรุ และตึกทีพีไอ ถนนนราธิวาสราชนครินทร์
วันที่ 10 เมษายน 2553 ยิงเอ็ม 79 ใส่กองปราบปราม และวันเดียวกันนั้น กลุ่ม นปช. และทหารปะทะกันรุนแรง ที่สี่แยกคอกวัว มีผู้เสียชีวิตกว่า 25 ราย บาดเจ็บกว่า 800 คน
วันที่ 12 เมษายน 2553 เกิดเหตุใช้อาวุธปืนยิงใส่ตึกไซเบอร์ ถนนรัชดาภิเษก และยิงเอ็ม 79 ใส่บ้านเลขที่ 11 ถนนประดิพัทธ์ เขตพญาไท กทม. วันที่ 19 เมษายน 2553 คนร้ายวางระเบิดแสวงเครื่องหน้าบริษัทเคแอล แกรนิต เลขที่ 31/48-49 ซอยเอกชัย 10/1 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กทม. ตำรวจคาดปมขัดแย้งธุรกิจ
วันที่ 23 เมษายน 2553 มีการยิงเอ็ม 79 จำนวน 5 ลูก ใส่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ศาลาแดง และย่านใกล้เคียง มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บกว่า 100 คน
วันที่ 26 เมษายน 2553 พบระเบิด เค 75 จำนวน 2 ลูก ที่หน้าโชว์รูมคาร์แม็กซ์ ถนนพระราม 9 ซอย 22 และค่ำวันเดียวกันคนร้ายได้ปาเอ็ม 67 ใส่บ้านนายบรรหาร ย่านบางพลัด
วันที่ 27 เมษายน 2553 เกิดระเบิดหน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาตลิ่งชัน
วันที่ 6 ตุลาคม 2553 เกิดระเบิดรุนแรงที่สยามเมตตาแมนชัน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี มีผู้เสียชีวิต 4 ราย รวมถึงนายสมัย วงศ์สุวรรณ ที่ถูกระบุว่าเป็นมือประกอบระเบิดและมีประวัติถูกดำเนินคดีปาระเบิดที่ จ.เชียงใหม่ และเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มคนเสื้อแดงหลายครั้ง
หลังเหตุการณ์ทางการเมืองสงบ มีการจัดระบบระเบียบใหม่ และมีการเลือกตั้ง เหตุการณ์บ้านเมืองก็ปกติสุขไร้เหตุการณ์ร้ายมาร่วม 2 ปี แต่เหตุระเบิดก็เกิดขึ้นจนได้
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2555 เกิดเหตุระเบิดขึ้น 3 จุด ในซอยสุขุมวิท 71 ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นมีชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีการคาดการณ์ว่า น่าจะเป็นการเชื่อมโยงกับการก่อนการร้ายข้ามชาติ
น่าสนใจมากว่า เหตุระเบิดในซอยสุขุมวิท 3 จุดในซอยสุขุมวิท 71 ได้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับเหตุวินาศกรรมครั้งรุนแรงที่สี่แยกราชประสงค์ โดยคดีนี้ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ผู้ต้องหาชาว”อิหร่าน” 2 คนสถานหนัก โดยจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต และจำเลยที่ 2 จำคุก 15 ปี จ่ายค่าชดเชยแก่ผู้เสียหาย 2 ล้านบาทฐานร่วมกันทำและร่วมกันมีวัตถุระเบิดแรงสูงชนิดซีโฟร์น้ำหนัก 1.5 กิโล ชนิดแสวงเครื่องจำนวน 5 ชุดทั้งยังเตรียมการไว้ล่วงหน้า และมีการเข้าออกประเทศไทยหลายครั้ง
นี่เป็นส่วนหนึ่งของ”ระเบิด” ที่เกิดขึ้นในช่วงความขัดแย้งทางการเมือง
ส่วนประเด็นการก่อการร้ายที่ประเทศไทยไม่ควรมองข้ามคือ การจับกุมนายฮัมบาลี แกนนำกลุ่มเจอาห์อิสลามิยะห์ หรือ เจไอ ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อปี 2546 โดยนายฮัมบาลี ลักลอบเข้ามาในประเทศไทย ก่อนที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค (APEC) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 20-21 ตุลาคม 2546 มีการสอบสวนพบว่า เขาวางแผนจะโจมตีสายการบินพาณิชย์และโรงแรมชื่อดัง 2 แห่งที่บริหารโดยนักธุรกิจชาวอเมริกัน กลางกรุงเทพฯ
หลังจากนั้นทางการไทยส่งตัวนายฮัมบาลีให้ทางการสหรัฐฯ ดำเนินคดีโดยมีหลักฐานเชื่อมโยงว่าเขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วินาศกรรม 911 ด้วย
ยังไม่ทันทีฝุ่นควันจากระเบิดที่แยกราชประสงค์จะจางลง ช่วงบ่ายวันที่ 18 สิงหาคม เกิดเหตุปาระเบิดบริเวณสะพานตากสิน ใก้ลกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ตากสิน และห่างจากราชประสงค์เพียง 7 สถานี ระเบิดลูกที่ 2 จะยิ่งทำให้การสืบสวนซับซ้อนมากขึ้นหรือช่วงคลี่คลายคดีลงอีกไม่นานน่าจะมีคำตอบ
Source BBC AFP Reuters MThainews