แม้ว่าสหรัฐฯจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของดีลนิวเคลียร์ที่ทำให้อิหร่านสามารถยับยั้งการพัฒนา รวมถึงครอบครองอาวุนิวเคลียร์ได้ แต่ในความเป็นจริง อิหร่านไม่ใช่ประเทศที่น่ากังวลใจเลยในด้านการใช้อาวุธนิวเคลียร์ เพราะประเทศที่มีหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุดในโลกก็คือมหาอำนาจที่ร่วมกันกดดันอิหร่านนั่นเอง
นับตั้งแต่การสาธิตความร้ายแรงของระเบิดนิวเคลียร์ในฮิโรชิมาและนางาซากิ แทนที่แต่ละประเทศจะเข็ดขยาดกับอาวุธทำลายล้างสูงชนิดนี้ มันกลับนำไปสู่การสั่งสมอาวุธ สหรัฐฯและรัสเซียเป็นผู้ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์มากกว่าร้อยละ 90 ของโลก นอกจากนี้ก็มีมหาอำนาจระดับภูมิภาคอย่างจีน อินเดีย ปากีสถาน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิสราเอล โดยช่วงที่การสั่งสมอาวุธขึ้นสูงที่สุด ก็คือปลายสงครามเย็น ในช่วงทศวรรษที่ 1980 แต่ในปัจจุบัน จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่แต่ละประเทศครอบครองก็ลดลงกว่าสองในสาม
มาดูจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่แต่ละประเทศครอบครองกันบ้าง ปัจจุบัน มีหัวรบนิวเคลียร์ 15,695 ลูก ซึ่งมากพอจะทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ไปจากโลกได้ถึง 14 ครั้ง สหรัฐฯมีอาวุธนิวเคลียร์น้อยกว่ารัสเซีย โดยรัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ 7,500 ลูก สหรัฐฯมี 7,100 ลูก ส่วนประเทศที่เหลือมีหัวรบนิวเคลียร์เพียงหลักร้อย เช่นฝรั่งเศสมี 300 ลูก จีนมี 250 ลูก อังกฤษมี 225 ลูก ส่วนเกาหลีเหนือ ประเทศที่ถูกพูดถึงในฐานะภัยคุกคามนิวเคลียร์มากที่สุด มีไม่ถึง 10 ลูก
เรียกได้ว่าแม้จะสิ้นสุดสงครามโลกมา 70 ปี และจบสงครามเย็นมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่จำนวนอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองของชาติต่างๆยังอยู่ในระดับที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และแม้ส่วนใหญ่จะพยายามลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ลง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะการันตีได้ว่าในอนาคตจะไม่มีการนำหัวรบนิวเคลียร์มาใช้งาน