"ตั๊ก บงกช" โพสต์แจงต้นตอภาพหลุดบนเรือยอชต์มาจากลูกน้องของสามีเป็นคนถ่าย ก่อนจะส่งต่อให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง พร้อมระบุสาเหตุที่ลูกน้องสามีออกมารับหน้าเองทั้งหมดเป็นเพราะกลัวมีปัญหากับครอบครัว
กรณี ตั๊ก บงกช เบญจรงคกุล ภรรยาของนายบุญชัย เบญจรงคกุล หรือเจ้าสัวบุญชัย มอบหมายให้ทนายความเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันต่อพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา จากที่ถูกมือดีแอบถ่ายขณะไปล่องเรือยอชต์กับสามีแบบส่วนตัวที่ จ.ภูเก็ต
จากนั้นได้มีคนอ้างเป็นทีมงานเรือยอร์ชมาโพสต์ข้อความในอินสตาแกรมของสาวตั๊ก โดยยืนยันไม่มีใครแอบถ่าย แถมยังตำหนิที่ดาราสาวด่ารุนแรง และหลังจากนั้นสาวตั๊กได้โพสต์ภาพข้อความที่แคปเจอร์จากแอพพลิเคชั่นไลน์ว่า ลูกน้องของเจ้าสัวบุญชัยออกมายอมรับว่าเป็นคนผิดเองและยังบอกด้วยว่าไม่อยากให้คนอื่นมารับกรรมนั้น
ล่าสุดวันนี้ (22มิ.ย.58)สาวตั๊กได้โพสต์ข้อความชี้แจงอีกรอบว่า “ขอโทษนะคนที่เข้าใจผิดว่าฉัน เข้าใจผิดเรื่องผู้หญิงคนนั้น ฉันไม่ได้เข้าใจผิด และที่ด่าไปคิดแล้ว คนที่ไม่รู้เรื่องช่วยอ่านข่าวให้ดี เรื่อง คือ ผู้ชายที่เป็นลูกน้องของพี่ใหญ่ ได้ไปอยู่หน้าเรือจึงถ่ายรูปเราได้ แต่เค้าให้การตำรวจว่าเค้าไม่ได้โพสต์ เค้าเห็นผู้หญิงชื่อโรสขอ ให้เพราะแลกกับเบอร์ของผู้หญิง และให้โรสคนเดียว ที่มีภาพนี้ แต่คนที่ชื่อชาลีก็ถูกดำเนินคดีแล้ว และด้วยความกลัวเมียว่าไปกิ๊กกับผู้หญิงคนนี้ จึงออกรับว่าทำคนเดียว แต่เค้าก็บอกฉันตรงๆ ว่าจริงๆ เค้าไม่ได้ทำ คนที่มีภาพก็ผู้หญิงที่ออกมาร้อนตัว ทำไมฉันต้องผิด ในเมื่อมันเอารูปฉันไปลงโดยฉันไม่ได้อนุญาต
คนที่มาว่าฉันอ้วน ฉันยอมรับว่าฉันอ้วนจริง แต่อย่ามาคิดว่าฉันเข้าใจผิด เรื่องผู้หญิงคนนี้ ฉันก็มีนักสืบของฉัน ฉันจะทำอะไร ต้องหาหลักฐานเสมอ ต่ำไม่ต่ำก็เรื่องของฉัน ไม่ชอบฉันก็ไปที่อื่น ฉันไม่ยอมให้ใครมาด่าฉัน โดยที่มันรังแกฉันจริง ที่ลบโพสต์ที่ด่ามัน เพราะมีไว้ในหน้าไอจีฉันก็ซวยเปล่าๆ และฉันคิดว่าสื่อเว็บก็เอาไปลงให้อ่านกันแล้วอยู่นิ”
จากนั้นยังโพสต์อีกว่า “ชาลีออกมารับคนเดียวเพราะกลัวเมีย และที่รู้จากสามีฉันมาคือ ก็เลี้ยงดูผู้หญิงชื่อโรสอยู่ คงไม่อยากให้ผู้หญิงซวย แต่ประเด็นคือร่วมกันทำแล้วยังมามีหน้ามาด่ากลับ”
พร้อมกันนี้ สาวตั๊ก ยังได้โพสต์คลิปเจ้าสัวบุญชัยพูดคำที่ลูกน้องมาสารภาพว่า "เพราะว่าผมแชร์ให้เขาเอง ผมอยากได้เบอร์เค้า" เพื่อเป็นการยืนยันอีกเสียงว่าทั้งหมดที่โพสต์นั้นเป็นเรื่องจริง