ไม่พบผลการค้นหา
"วิษณุ" ชี้ศาลปกครองชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งให้อดีตนายกฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 35,000 ล้านบาท พร้อมหยุดยึดทรัพย์ ก่อนเดินหน้ายื่นอุธรณ์ใน 30 วัน ขออย่าวิจารณ์ยุติธรรมหรือไม่

วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ระบุถึงกรณีที่ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาคดีที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฟ้องนายกรัฐมนตรี ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 35,000 ล้านบาท ว่า ที่แล้วมามีการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดไปบางส่วน ซึ่งมูลค่าไม่ถึง 100 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการดำเนินการยึดทรัพย์ต่อ 

แต่เมื่อศาลมีคำสั่งมาดังกล่าวจึงต้องหยุดการยึดทรัพย์และยื่นอุธรณ์ต่อ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แล้วเมื่อ 3 วันที่ผ่านมามีการตัดสินคดีของบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในขณะนั้น และภูมิ สาระผล ที่มีการตัดสินคดีให้ยึดทรัพย์ โดยมีการยื่นอุทธรณ์ออกไป ศาลจะมีคำสั่งให้ยุติการยึดทรัพย์ออกไปก่อน เช่นเดียวกับคดีนยิ่งลักษณ์ที่ยังไม่ถึงที่สุด 

รัฐจึงมีหน้าที่ต้องยื่นอุทธรณ์อยู่ดีใน 30 วัน ซึ่งเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบแล้ว พร้อมย้ำว่าเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดก็ต้องว่ากันไปเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อชนะบ้างแพ้บ้างก็ว่ากันไป ไม่ได้ติดใจหรือมีปัญหาอะไร ขออย่าโทษก็แล้วกันว่าพอฝ่ายใดชนะแล้วศาลตัดสินยุติธรรม พอแพ้ก็บอกว่าไม่ยุติธรรม ลำเอียง 2 มาตรฐานอย่าคิดอย่างนั้น ปล่อยให้ท่านดำเนินคดีไปให้ถึงที่สุด


ยึดไปแล้วขอคืนไม่ได้

ส่วนกรณีที่ยึดทรัพย์ไปบางส่วนแล้ว มีการขายทอดตลาด และในภายหลังมีคำสั่งของศาลออกมาในลักษณะแบบนี้ วิษณุระบุว่า คดียังไม่ถึงที่สุด ก็ต้องหยุดเอาไว้เท่านั้น วันหลังชนะแล้วจะมาเอาคืนไปก็คงไม่ได้ เพียงแต่หยุดไว้เท่านั้น ยืนยันว่าไม่มีปัญหา เพราะที่ผ่านมาเช่นที่บ้านโยธินพัฒนา ก็ยึดทรัพย์ไปก็ยังไม่ทำอะไร จึงสั่งหยุดไว้ทั้งหมด และดำเนินคดีในชั้นศาลปกครองสูงสุดต่อไปทั้งนี้ นายวิษณุ ระบุว่า รัฐบาลจะยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ต้องปล่อยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินการเนื่องจากเป็นเจ้าทุกข์ โดยมีอัยการช่วยดำเนินการ

ส่วนคำสั่งของศาลดังกล่าวจะส่งผลต่อ คำสั่งของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่นั้น วิษณุ ระบุว่า ตนไม่ทราบ เพราะเริ่มต้น ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า มีความผิด ถือเป็นการละเว้น โดยต่อมาป.ป.ช.มีหนังสือแจ้งมาว่าให้ดำเนินการยึดทรัพย์ 

เมื่อยึดทรัพย์ ผู้เสียหายก็มายื่นถอนการยึดทรัพย์ ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยว่า ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงประธาน คนอื่นหรือเจ้าหน้าที่อื่นเป็นผู้ผิด ซึ่งตนก็ยังไม่เห็นคำพิพากษาดังกล่าว มีแต่เพียงคนสรุปมาให้ตนทราบ แต่มีความย้อนแย้งกับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง