บันทึกของ College of Music, Mahidol University เรื่อง "วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ในวันที่ไม่มีสุกรี เจริญสุข" หลัง สกอ.ไม่รับรอง 2 แขนงวิชาในมหิดล
บันทึกของ College of Music, Mahidol University เรื่อง "วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ในวันที่ไม่มีสุกรี เจริญสุข" หลัง สกอ.ไม่รับรอง 2 แขนงวิชาในมหิดล
ทั้งนี้ ศ.ดร.สุกรี เจริญสุข คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นคณบดี หลังจากที่ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไม่รับรองหลักสูตรเทคโนโลยีดนตรีและธุรกิจดนตรี ของทางวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ซึ่งเป็น 2 ใน 7 หลักสูตร ของทางมหาวิทยาลัย ที่ สกอ.อ้างว่า ไม่เข้มแข็งด้านวิชาการ ไม่มีอาจารย์สอนที่เหมาะสม จึงไม่ให้ชื่อ "ดุริยางคศาสตร์บัณฑิต" แต่ให้ "ศิลปศาสตร์บัณฑิต" ทำให้นักศึกษาที่จบ ไม่สามารถเข้ารับราชการและเรียนต่อต่างประเทศศาสตร์ด้านดนตรีโดยตรงได้ โดยการลาออกดังกล่าวของ ศ.ดร.สุกรี จะมีผลในวันที่ 30 กันยายนนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ และไม่ต้องการเอาชีวิตเด็กเป็นตัวประกัน
มีอาจารย์ท่านหนึ่งได้บันทึกการประชุมเมื่อเช้านี้ และเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่อง อ.สุกรี มาให้ทุกท่านได้อ่านครับ ทางทีมงานจึงขออนุญาตโพสต์ลงในนี้เพื่อให้ทุกคนได้รับทราบและพิจารณากันครับ
วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ในวันที่ไม่มีสุกรี เจริญสุข แปดโมงเช้า วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ที่ห้องประชุมขนาดใหญ่ มีพนักงานของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์มารอกันอยู่เต็มห้อง และดูจะมีปริมาณมากกว่าทุกคราวเสียด้วย เวลานี้เป็นเวลาที่ ดร.สุกรี เจริญสุข คณบดีคนปัจจุบันใช้เป็นเวลาในการ ประชุมพนักงานทั้งวิทยาลัยประจำสัปดาห์ เพื่อ มอบนโยบาย วางแผนงานที่จะเกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ ถามสาระทุกข์สุขดิบ ประเมินงานที่ผ่านไป ในวันนี้ จำนวนพนักงานที่มากันมากกว่าทุกครั้ง ดูจะเป็นสิ่งบ่งบอกว่า การประชุมครั้งนี้ มีเรื่องสำคัญกว่าทุกคราว
แปดโมงสิบนาที ดร.สุกรี เจริญสุขมาปรากฏตัว เป็นครั้งแรกที่คณบดีผู้มีไฟคุกกรุ่นของวิทยาลัยมาทำหน้าที่ประธานในการประชุมช้ากว่าเวลานัดหมาย นั่นคงเป็นด้วยการที่ท่าน ไตร่ตรองสิ่งที่จะพูดต่อหน้าที่ประชุมให้ละเอียดรอบคอบก่อนจะมา
และแล้ว ท่านคณบดีก็ได้แถลงในสิ่งที่หลายคนได้รับทราบเค้าลางมาก่อนหน้านี้จากหน้าสื่อหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ และ รายการโทรทัศน์ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการยืนยันจากปากของท่านคณบดีเอง คือเรื่องการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งคณบดี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ และลาออกจากตำแหน่งพนักงานมหาวิทยาลัย ของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยให้เหตุผลว่า เป็นไปด้วยสำนึกในความรับผิดชอบที่มีต่อนักศึกษาผู้เข้าศึกษาในวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ที่ได้เข้าศึกษาในหลักสูตรดุริยางคศาสตร์บัณฑิตโดยที่หลักสูตรไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานข้าราชการพลเรือนก็ไม่สามารถตีราคาใบปริญญาได้ จึงไม่อาจรับราชการได้ การลาออกนี้ถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบอย่างกล้าหาญและสง่างาม ดร.สุกรีทิ้งท้ายคำชี้แจงด้วยการ ท่องบทกลอนผลงานของ สุจิตต์ วงษ์เทศ มีความว่า
“ปรารถนาสิ่งใดให้ได้หมด
สังขารขี้ มีตด รวมหยดเยี่ยว
ให้ไม่ได้จริงจริง มีสิ่งเดียว
สำนึกเหนียว แน่นสนิท จิตวิญญาณ”
“เอาหัวใจผมไปไม่ได้หรอก” ดร.สุกรีเสริมด้วยแววตามุ่งมั่น ท่านเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้คนรับทราบเรื่องการยื่นใบลาออก คนสนิททั้งหลายทั่วทุกสารทิศต่างพากันโทรศัพท์มาหาท่าน บางรายก็มาร้องไห้ทางโทรศัพท์เป็นนาน ในบรรดาคนเหล่านี้ มีทั้งบรรดาผู้มีชื่อเสียงทางสังคม นักการเมือง ผู้นำระดับแนวหน้าทุกสีทุกหมู่เหล่า ฯลฯ ต่างพากันมาสมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวเนื่องด้วยความคิดที่ไม่ต้องการให้ ดร.สุกรีลาออกทั้งสิ้น
มีเสียงกุกกักดังขึ้นที่ประตูด้านหลัง คณาจารย์จำนวนหนึ่งเดินเข้ามา มีทั้งชาวไทยและต่างชาติ “พวกเรามาเพื่อให้กำลังใจท่านคณบดี และขอได้โปรดอยู่ทำงานต่อไป” เป็นคำชี้แจง “ขอทิชชู่หน่อย” ดร.สุกรีกล่าวติดตลก ทำให้บรรยากาศที่เศร้าหมองผ่อนคลายขึ้น ทุกคนหัวเราะเสียงปร่าๆ ดร.สุกรีชี้แจงในที่ประชุมต่อ อาจารย์ชาวต่างชาติลงนั่งที่เก้าอี้แถวหน้า อยู่ใกล้พอที่อาจารย์สุกรีจะเห็นอากัปกิริยาได้ “อย่าร้องไห้สิครับ” อาจารย์กล่าว “เสียงร้องไห้ การอ้อนวอนไม่มีความหมายเท่ากับการที่เราจะรวมพลังกันหรอกนะครับ” ดร.สุกรีกล่าว “คุยเรื่องดีๆ กันดีกว่า วิทยาลัยได้ลงทุนปรับปรุงห้องสมุดดนตรีของเราให้ทันสมัยที่สุด ดีที่สุด ตั้งแต่วันพุธนี้เป็นต้นไป เราจะใช้ห้องสมุดออนไลน์ได้ ทีนี้ ทุกคนก็จะสามารถใช้บริการห้องสมุดดนตรีได้โดยไม่ต้องเข้าห้องสมุด นั่งใต้ต้นไม้ก็เปิดชมการแสดงคอนเสิร์ตดีๆ การแสดงโอเปร่านับหมื่นๆ รายการ ฟังเพลงเป็นแสนๆ รายการ โหลดสกอร์เพลงได้ เราจะลงทุนทำห้องสมุดดนตรีให้ดีที่สุดในเอเชียอาคเนย์”
ประตูเปิดอีกครั้ง คราวนี้เป็นตัวแทนคณะนักศึกษา นำช่อดอกไม้มาให้เช่นกัน ก่อนจะมอบดอกไม้มีการร้องเพลงประจำวิทยาลัย “ดุริยางคศิลป์” ความซาบซึ้งไพเราะของน้ำเสียงเรียกหยาดน้ำตาของคนในที่ประชุมนั้นได้อีกมาก นักศึกษาเองก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ ตัวแทนนักศึกษากล่าวไปพร้อมกับปาดน้ำตาไป นักศึกษาชายคนหนึ่งกล่าวว่า “ขอขอบพระคุณมากๆ เลยครับที่เมื่อวานอาจารย์ไปดูพวกผมด้วย” เขาหมายถึงงานขึ้นสแตนด์รับน้องของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในวันอาทิตย์ และไม่มีความจำเป็นที่คณบดีที่มีภาระกิจรัดตัวจะต้องไปชมแต่อย่างใด นักศึกษาชายซาบซึ้งมากจนกระทำในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง เขาคุกเข่าลงที่พื้น กราบแทบเท้าท่านคณบดี
“ ทีหลังหาคอนดัคเตอร์ไปกำกับเวลาร้องด้วยนะ” อ.สุกรีกล่าว “อย่าเอาแต่ทำท่าพยักคอหงึกหงักกัน เป็นโอกาสดีที่เราได้แสดงดนตรีดีๆ ให้คนอื่นฟังแล้ว” ต่อด้วยนักศึกษาหญิงอีกคน “แต่ก่อนหนูไม่เคยเชื่อในระบบปริญญาเลย แต่การที่หนูเลือกมาอยู่ที่นี่ เพราะหนูเชื่อว่าใบปริญญาที่หนูจะได้รับจากมหาวิทยาลัยมหิดลและวิทยาลัยดุริยางคศิลป์จะเป็นใบปริญญาที่มีคุณค่ามากๆ และเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่หนูเลือกมาเรียนที่นี่ค่ะ และหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหนูก็เชื่อว่ามันจะมีคุณค่าที่เราได้ต่อสู้ร่วมกัน และได้ใบปริญญามาอย่างภูมิใจค่ะ”
น้ำเสียงของท่านคณบดีอ่อนลงเมื่อให้โอวาทเด็กๆ ว่า “ ปริญญานี่คู่กับความรู้ความสามารถ ครูมาอยู่ที่นี่เพื่อสร้างคนใหม่ ตั้งแต่สามขวบขึ้นมา จนวันนี้เรามีเมล็ดพันธุ์ใหม่ ครูคิดว่าต้องสร้างงานใหม่โดยคนที่มีความรู้ความสามารถจะต้องเป็นคนดี คนเก่งของไทยมักจะโกง คนดีของไทยมักจะซื่อบื้อ แต่เราจะสร้างคนดนตรีให้เป็นทั้งคนดีและคนเก่ง ฉะนั้นเราจะมัวแต่ร้องไห้ไม่ได้หรอก”
นักศึกษาหญิงแสดงว่าเข้าใจในสิ่งที่ท่านคณบดีพูด เธอกล่าวสรุปว่า “ ต่อไปนี้ถ้าจะมีน้ำตาอีกก็คงเป็นเพราะการที่เราเห็นคุณค่าในการต่อสู้ร่วมกันและซาบซึ้งในการที่อาจารย์ต่อสู้เพื่อพวกเรา” อาจารย์สุกรีแย้งก่อนที่จะเดินจากไปว่า “ ไม่ใช่พวกเราหรอก... เพื่อวิทยาลัยต่างหากล่ะ การเปลี่ยนแปลงมักทำให้เราเจ็บปวด พวกคุณพร้อมที่จะเจ็บปวดไหม”