เมื่อสัก 10กว่าปีก่อนผมได้ชมภาพยนตร์กึ่งสารคดีที่ชื่อ “ปมไหม” ออกอากาศทางช่อง iTV เกี่ยวกับประวัติชีวิตของ “ราชาผ้าไหมไทย” จิม ทอมป์สัน ทำให้รู้สึกว่าประวัติของเขาน่าสนใจและโลดโผนเป็นอย่างมาก ยังจำได้ว่าเป็นมิติใหม่ของละครไทยที่ใช้กล้องแบบฟิลม์ภาพยนตร์ถ่ายทำ
กว่าจะเป็นราชาผ้าไหม ที่นำพาให้ผ้าไหมไทยรู้จักไกลไประดับโลกนั้น จิมเคยเป็นทหารที่เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่กับหน่วย OSS (ปัจจุบันคือ CIA ที่เรารู้จักกันดี) จนหลังสงครามโลกจบจิมได้เข้ามาที่ไทยครั้งแรกด้วยภารกิจฟื้นฟูสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
เมื่อเขาประเทศไทยก็สนใจชีวิตในชนบท โดยเฉพาะแถบภาคอีสาน จนได้ไปพบกับการทอผ้าไหมที่วิจิตรบรรจง หลังจากเขาปลดประจำการเขาจึงตั้งรกรากที่ชุมชนบ้านครัวโดยรวบรวมช่างผ้าฝีมือดีมาร่วมกันทอผ้าไหม ด้วยความที่จิมมีเพื่อนในวงการแฟชั่นจึงได้ผลักดันให้ผ้าไหมไทยได้ปรากฏตัวในนิตยสารระดับโลกทั้ง Vogue และ Vanity Fair สร้างชื่อให้กับผ้าไหมไทยเป็นอย่างยิ่งในแบรนด์ “Jim Thompson”
แต่การหายตัวเขาก็ยังเป็นความลึกลับจนปัจจุบันเมื่อเขาได้หายตัวไประหว่างพักผ่อนที่มาเลเซีย โดยจิมมีบ้านพักตากอากาศที่ คาเมรอนไฮแลนด์ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มที่ผมตัดสินใจออกเดินทางตามรอยไหมของจิม เมื่อถึงกัวลาลัมเปอร์เรานั่งรถจากที่ท่าขนส่ง Paduraya เพื่อไปยังเมืองคาเมรอนไฮแลนด์อดีตพื้นที่ปลูกชาของอังกฤษเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าอาณานิคม ซึ่งจะเล่าในโอกาสต่อไป
ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงจึงมาถึงคาเมรอนฯ ที่นี่เป็นเมืองกลางหุบเขาและเนินเขาสลับกัน บรรยากาศดูเย็นสบายตลอดทั้งปี วิวทิวทัศน์ดูเหมือนอยู่กลางวัลเลย์ของยุโรปเพราะเป็นเมืองที่ชาวต่างชาติชอบมาตากอากาศ ไม่เว้นแม้กระทั่งจิม อาหารขึ้นชื่อเมืองนี้ที่เราได้ลองในมื้อแรกก็คือ “สตรีมโบ๊ท” ลักณะคล้ายๆหม้อสุกี้น้ำใสที่มีควันไอน้ำพวยพุ่งตลอดเวลา ใส่กันผักและเนื้อสัตว์นานาชนิด
ผมเลือกเข้าพักในโรงแรมท่ามกลางหุบเขา แต่สนนราคาเพียงหลักร้อยบาทเท่านั้น เมื่อตื่นเช้าสายหมอกยิ่งทำให้เราเห็นว่ามันคล้ายเมืองตากอากาศในยุโรปเพียงใด มันเช้าเกินกว่าจะไปบ้านของจิม ผมเลือกจะเหมาแท็กซี่เพื่อชมเมืองเล็กๆแห่งนี้ โดยคำนวณราคาเป็นชั่วโมงในการพาเที่ยว เริ่มจากการไปไร่ชา ไปสวนสตรอเบอร์รี เพื่อชมความสวยงามของแปลงเกษตรในบรรยากาศธรรมชาติ
เมื่อถึงเวลาสัก 9.30 สายหมอกเริ่มจาง เลยตัดสินใจจับรถขึ้นไปเยี่ยมชมบ้านพักของจิม ที่อยู่ค่อนข้างปลีกวิเวกไปยังมุมหนึ่งของเมือง บ้านสไตล์ English Cottage สีน้ำตาลแดง มีซุ้มประตูโค้งและกระจกรายรอบ มีคนดูแลรักษาอย่างดี เพราะปัจจุบันบ้านหลังนี้ถูกแปลงให้กลายเป็นที่พัก คาเฟ่และสถานที่รับรองแขกที่จะมาตามรอยผ้าไหมของจิม เราจะเห็นวิวเมืองแบบ 360องศา
บรรยากาศดูสงบร่มเย็น ภาพสถานที่นั้นเหมือนถูกหยุดไว้ด้วยกาลเวลา เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปตั้งแต่เขาหายตัวไป พอมานั่งนึกว่าถ้าหากเป็นผมเมื่อประสบความสำเร็จในชีวิต และไม่มีภาระอะไรแล้วก็คงอยากได้ความสงบแบบนี้เช่นกัน เรื่องราวการหายตัวไปของจิมยังคงดำมืดถึงปัจจุบัน บ้างก็ว่าเขาหลงป่าจนหายไป(แน่สิ คาเมรอนนี่มีแต่ป่ากับเขา) บ้างก็ว่าเขาอาจถูกโจรฆ่า หรือบางทฤษฎีไปไกลถึงว่าเพราะจิมเป็นอดีต CIA จึงถูกตามมาเก็บ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่มรดกที่จิม ทอมป์สัน ทิ้งไว้ให้กับสังคมไทยทั้งการยกมาตรฐานผ้าไหมไทยสู่ระดับโลก พิพิธภัณฑ์สมบัติของเขาที่มีของหายากหลากหลายชนิด และการต่อลมหายใจให้ช่างทอผ้าไหมไทยยังคงอยู่เสมอไป