ไม่พบผลการค้นหา
มายาคติและภาพเหมารวมใหม่ต่อเกย์ (ตอนที่ 2)

เพราะเกย์กะเทยเลสเบี้ยนเริ่มสบายใจและกล้าเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศบนพื้นที่สาธารณะมากขึ้น หญิงชายบางคนก็กล้ายอมรับรสนิยมรักเพศเดียวกันของตนเอง และพื้นที่สาธารณะเองก็ถูกขยายและเพิ่มมิติสอดรับกับการขยายตัวของ LGBT จะด้วยความหวังดีหรืออะไรก็แล้วแต่ บรรดามิตรสหายเก้งกวางกะเทยค่างบ่างชะนีรายล้อมจึงพยายามทั้งลากทั้งจูงคนใกล้ตัว ให้เปิดเผยเพศวิถี แสดงตัวตนเพศสภาพออกมา come out of the closet (ซึ่งเป็นสำนวนที่แพร่หลายนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 60)  ยุให้ grand opening ออกตัว “แรงๆ เลยค่ะ อย่ายอมเค้า” ซึ่งนั่นก็สะท้อนมายาคติที่ว่าตุ๊ดต้องแร๊งงงงส์ และการมีเพศวิถีรักเพศเดียวกันจำเป็นต้องแจ้งต่อสาธารณชนให้รับทราบ ราวกับต้องสารภาพบาป ทั้งๆที่รักต่างเพศไม่ต้อง

แถมตุ๊ดบางคนยังถูกบอกให้ใช้หางเสียง “คะ” “ขา” แทน “ครับ” โดยไม่คำนึงถึงความคุ้นชิน รสนิยมทางภาษา หรือเงื่อนไขส่วนบุคคล ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรไปจากสังคมรักต่างเพศที่เที่ยวบอกว่าผู้หญิงผู้ชายต้องและไม่ต้องทำอะไร

แล้วจะเป็นเพราะความเข้าใจผิดเชิงบวกหรืออะไรก็ตาม เพื่อน LGBTบางคนเห็นว่า ไหนๆก็ตาสว่างดิ้นหลุดจากกรอบวาทกรรมเรื่องเพศกระแสหลักได้แล้ว ก็น่าจะตาสว่างกับทุกๆเรื่อง สามารถก้าวข้ามมายาคติ ปลดแอกจากวาทกรรมเดิมๆที่เต็มไปด้วยข้อบังคับและการเลือกปฏิบัติ ราวกับว่าการเป็นเก้งกวางจะมาเป็นแพคเก็จคู่กับเสรีนิยม และบรรดา “หัวก้าวหน้า” หรือ liberalist ทุกผู้ทุกนามจะสามารถร่วมเพศกับเพศเดียวกันได้กันหมด (ปอ. ลิง. คำว่า “หัวก้าวหน้า” ก็เป็นอะไรที่คลุมเครือ ลื่นไหล ยังต้องตีความอ้างอิงกับคู่ปฏิปักษ์คือ “หัวโบราณ/ล้าหลัง” เช่นเดียวกับคำว่า “คนดี” - “คนเลว”)

คู่เกย์คู่ไหนจูงมือกันไปสวดมนต์ข้ามปี เข้าวัดฟังเทศน์ ปลื้มปริ่มไปกับนิทานสี่แผ่นดิน เพ้อฝันถึงโลกสยามก่อน พ.ศ. 2475 ฝันใฝ่ใน “คนดี” อันเหลื่อเชื่อ รักนวลสงวนตัวหรือเป็นแม่ศรีเรือน ก็พลอยถูกเบ้ปากใส่รัวๆ ตอกหน้าว่าเป็นพวกอนุรักษ์นิยม หัวอ่อนหลอกง่าย เชื่อเข้าไปได้ ทั้งๆที่มันก็โครงสร้างเดียวกับที่บอกว่าตุ๊ดเป็นบาปเป็นกรรมน่ารังเกียจ

ราวกับยุคสงครามเย็น ที่แบ่งออกเป็น 2 ค่าย ค่ายคอมมิวนิสต์และเสรีประชาธิปไตย พอเป็นตุ๊ดทั้งที ถ้าไม่เป็นเสรีนิยม ล้มวาทกรรมหลักไปเลย ก็ต้องเป็นอนุรักษ์นิยม

อย่างไรก็ตามการมีรสนิยมทางเพศแบบรักเพศเดียวกันแล้วจะมีรสนิยมทางสำนึกคิดเป็นอนุรักษ์นิยมก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลพอๆกับเป็นเสรีนิยม เพราะด้วยตำแหน่งแห่งที่ของเพศสภาพเพศวิถีนี้ นำไปสู่ประสบการณ์และความรู้สึกลึกๆว่า ตนเองขัดต่อจารีตประเพณีศีลธรรมความเชื่อและวาทกรรม “ความเป็นธรรมชาติ” ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม จึงต้องปวารณาตนเองเข้าสู่ค่านิยมขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีวัฒนธรรมศีลธรรมไทยอันดีงาม (ขนมาให้หมด) เป็นคนดีทั้งกาย วาจา ใจ ให้มากกว่าผู้ชายผู้หญิง และจะอุทิศตนไม่ให้ใครมาบ่อนเซาะทำลายหรือแค่แซะมิได้ ราวกับว่าเพื่อจะไถ่บาปหรือเพื่อเป็นการประคับประคองภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ LGBT

มันจึงแทบไม่ใช่เรื่องแปลก หากวันดีคืนดีจะมีมนุษย์เกย์ประเภทเชิดชูวาทกรรมรักนวลสงวนตัว กุลสตรีไทย จำแนกหญิงดี-หญิงชั่ว, ทำนุบำรุงสถาบันครอบครัวแบบพ่อแม่ลูกด้วยการเรียกร้องให้แบนหนังละครที่เชื่อว่าทำลายสถาบันครอบครัว, ประณามด่าทอผู้หญิงโชว์หวิวว่าไร้สมอง ไร้พ่อแม่ขัดเกลาสั่งสอน, ขับไล่คู่รักเพศเดียวกันที่พลอดรักในพื้นที่สาธารณะให้พ้นสายตา,  หรือคอยเผือกวิ่งโล่ไปบอกตำรวจให้ไปบุกปราบสถานบันเทิงสำหรับชายรักเพศเดียวกัน ด้วยเชื่อว่าสถานที่เหล่านี้คือแหล่งมั่วสุมและสุ่มเสี่ยงต่อโรค

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเห็น LGBT ด้วยกันคนใดเกิดหัวก้าวหน้าร้องแรกแหกกระเชอขึ้นมา หรือทะเล่อทะล่าออกนอกลู่นอกบรรทัดฐานสังคม ขัดต่อ “กาลเทศะ” “ความเหมาะสม” และรากเหง้าศีลธรรม ก็ต้องปรี่เข้าไปประณามหยามเหยียดว่า ทำให้ “เสียชื่อกะเทยไทย” เสื่อมเสียสถาบัน ทำลายภาพลักษณ์เกย์ แค่นี้คนเค้าก็รังเกียจอยู่แล้ว ยังทำให้น่ารังเกียจกว่าเดิมอีก

ด้วยความเชื่อว่ามวลมหาประชาเกย์กะเทยทั้งประเทศ ทั้งรุกรับโบทไบภายในภายนอก ทุกชาติพันธุ์ ศาสนาลัทธิ อาชีพ ช่วงวัย ชนชั้น ภูมิลำเนา สถาบันการศึกษา ล้วนเป็นภราดรภาพเป็นปึกแผ่นเดียวกันไปหมด และมีภารกิจร่วมกันคือ เป็นทูตทางเพศสภาพเพศวิถี ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อภาพพจน์เกย์ เป็นกระบอกเสียงให้สังคมมีภาพจำใหม่แทนอันเก่าที่มองว่าเป��นสิ่งเลวร้าย ผิดบาป ขาวีน อารมณ์รุนแรง มั่วเซ็กซ์ กรี๊ดกร๊าด เพื่อให้ได้รับการันตีว่ามีคุณค่าจากกลุ่มเพศสภาพเพศวิถีอื่น มากกว่าจะยอมรับและเคารพความหลากหลายทางอัตลักษณ์ด้วยกันเอง

ดังนั้น เพื่อพิสูจน์ว่าเกย์ไม่ได้เป็นอย่างที่สังคมตีตราเหมารวมไว้แบบเสียๆหายๆ แต่เป็นเพียงมนุษย์คนนึงที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรีเท่ากับเพศอื่นๆ (ซึ่งนั่นเท่ากับว่า นางเอาตัวเองไปอยู่ในเกมส์ที่เป็นตัวรองตั้งแต่แรก อย่างไม่มีความจำเป็น เพราะไม่มีข้อกล่าวหาหรือความผิดใดสามารถกล่าวหากันลอยๆ อย่างไม่มีหลักฐาน และตราบที่ยังไม่มีหลักฐาน ผู้นั้นก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ โดยไม่มีความจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองให้เปลืองเวลา) และเพื่อสมาทานวาทกรรมกุลสตรีไทย จึงมีการประดิษฐ์แบบแผนปฏิบัติโดยนที ธีระโรจนพงษ์ ที่เรียกว่า “กุลเกย์” สามารถแจกแจงเป็นข้อๆได้ประการดังนี้ 1.ไม่แสดงกิริยาวี้ดว้ายกระตู้วู้ 2.ไม่พูดจาส่อเสียดหรือหยาบคาย 3.ไม่นินทาว่าร้าย 4.ไม่ไร้สาระ 5.ไม่บ้าเซ็กซ์ 6.ไม่อยู่อย่างอยู่ไปวันๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติของเกย์ที่มองเกย์ด้วยกันอย่างแจ่มแจ้ง

ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว มันก็เป็นเพียงกรอปฏิบัติให้เพศสภาพเพศวิถีที่ถูกเหมารวมว่าเป็น “เพศที่ 3” ให้มีพื้นที่ยืนอยู่ในสังคมอย่างเสมอตัว ได้รับการยอมรับเป็นรายบุคคลเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้สังคมยอมรับเพศวิถีที่หลากหลายและเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางเพศ และไม่ใช้เพศสภาพเพศวิถีเที่ยวไปตัดสินคนอื่น           

ดังนั้น แม้เมื่อได้รับการยอมรับแล้ว เพศสภาพเพศวิถีก็ยังคงเป็นเครื่องมือมาตรวัดตัดสินบุคคลอยู่ดี  เพียงแต่เปลี่ยนจากมีอุปนิสัยเกรี้ยวกราด โมโหร้าย หื่นกาม มาเป็นเรียบร้อย นุ่มนิ่ม สุภาพ รักดี

(ต่อตอนที่ 3)

 

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog