ปี 2557 มีกระแสฮิตจากต่างประเทศ  มาสู่ไทย  โดยนำน้ำแข็งผสมน้ำ  และเทราดตัว   จุดประสงค์เพื่อช่วยผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง  และเข้ามาสู่ไทย  จากนั้นก็เป็นกระแสท้าทายกันเพื่อระดมเงินเข้ากองทุนช่วยผู้ป่วยโรคนี้  และโรคอื่นๆ ตามมา 

นี่คือ บุคคลที่เป็นจุดเริ่มต้นในการทำแคมเปญ ไอซ์ บัคเก็ต  เมื่อช่วงกลางปี 2557 เขาคนนี้ ชื่อ พีท เฟรท (Pete Frates )  อดีตกัปตันทีมเบสบอล  ของวิทยาลัยบอสตัน  ซึ่งปัจจุบัน เป็นผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ  ALS   
        
คริส เคนเนดี้   นักกอล์ฟจากซาราโซต้า ฟลอริด้า    เป็นคนแรกที่ทำไอซ์  บัคเก็ต   เพื่อช่วยผู้ป่วย ALS  โดยได้รับคำท้าจากเพื่อน   ให้ทำไอซ์ บัคเก็ต  และเขาเป็นผู้ริ่เริ่มให้มีการตั้งเงื่อนไขการทำไอซ์ บัคเก็ต เพื่อบริจาคให้ผู้ป่วยในหลายโรค  และคริส  เลือกบริจาคให้มูลนิธิ   เพื่อผู้ป่วยโรค ALS  เนื่องจากญาติของเขาป่วยโรคนี้    และโพสต์ต่อไปยังเพื่อนของเขาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม  2557  จากนั้นก็กระจายมายังเซเลบโลกไอที ทั้งมาร์ค ซักเกอเบอร์ค , บิล เกต , ทิม คุก , จัสติน บีเบอร์ และจัสติน ทิมเบอร์เลค หรืออีกหลายคนที่เป็นสตาร์ระดับโลก         

คนที่โดน Challenge จะต้องเลือกระหว่างการเอาน้ำทุ่มใส่ตัวเองหรือคนรอบข้าง แล้วจ่ายแค่ 10 เหรียญสหรัฐ  หรือหากเลือกไม่สาดน้ำ  ต้องบริจาคเงิน 100 เหรียญสหรัฐ  ให้กับ ALS  Association ในสหรัฐฯ   นี่คือเงื่อนไขการท้าทำไอซ์ บัคเก็ต  ในต่างประเทศ  

เมื่อกระแสนี้มาถึงบ้านเรา  การท้าทำ ไอซ์ บัคเก็ต  ได้เริ่มขึ้นในเซเลปไอที   โดยคนแรกที่เริ่มทำคนแรก คือ นายอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์  เจ้าของเวบไซต์ บล็อกนัน ดอท คอม   โดยเปิดทางให้ผู้ที่รับคำท้า   บริจาคให้องค์กรการกุศลใดก็ได้           

จากแวดวงไอที  กระจายต่อกันมาในแวดวงดารา นักแสดง และผู้บริหารในหลากหลายองค์กร  
เมื่อการท้าทำกิจกรรมนี้กระจายออกสู่วงกว้างในไทยอย่างรวดเร็ว  การท้าทายเริ่มออกสู่ฝั่งของเจ้าของสินค้า ดังนั้น การรับคำท้า ไอซ์ บัคเก็ต จึงมีลักษณะของโฆษณาแฝงแบรนด์สินค้าไปในตัว  เรียกว่ายิงปืนครั้งเดียว ได้นกหลายตัว เพราะได้ทั้งการประชาสัมพันธ์แบรนด์ออกสื่อ, ได้ภาพลักษณ์ที่ดี  ที่องค์กรมีต่อสังคม  ได้ร่วมบริจาคเพื่อองค์กรต่างๆ  ทั้งยังได้ร่วมสานสัมพันธ์กับแบรนด์อื่นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน     

แม้ว่าในช่วงปลายของการทำ ไอซ์ บัคเก็ตจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก   จากที่เคยเป็นการราดน้ำแข็งและท้าต่อกันให้ทำตามที่กำหนด หากทำจะบริจาคน้อย   และหากไม่ทำก็จะบริจาคให้องค์กรการกุศลมากกว่า   จนมาถึงการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการของผู้บริจาคมากยิ่งขึ้น    แต่ไม่ว่าจะท้ากันด้วยวิธีการใด  หรือจะมีการแอบแฝงวัตถุประสงค์เข้ามารวมในกิจกรรมนี้ด้วย  สุดท้ายแล้วองค์กรการกุศลในหลากหลายแห่งต่างก็ได้รับการช่วยเหลือ

ตั้งแต่ 29 กรกฎาคม ถึง 28 สิงหาคม 2557    มูลนิธิผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง  ได้รับเงินบริจาคถึง 98 ล้าน 2 แสนเหรียญสหรัฐ  หรือ ประมาณ 3,153 ล้านบาท  มากกว่ายอดบริจาคปีที่แล้วที่มี  2 ล้าน 7 แสนเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 86 ล้านบาท