ไม่พบผลการค้นหา
ศาลอาญาพระโขนง พิพากษาลงโทษประหารชีวิต "พ.ต.ท.บรรยิน" จำเลยในคดีร่วมกันฆาตกรรม "เสี่ยชูวงษ์" ระบุมีพยานผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ และพยานแวดล้อม ที่พิสูจน์ได้ว่าการกระทำของจำเลยมีพิรุธ ผู้ตายไม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจริง

ที่ศาลอาญาพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลอ่านคำพิพากษา ลงโทษให้ประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ หลายสมัย เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ 

คดีนี้ ศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง ภรรยาของ ชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือ เสี่ยจืด นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระดับประเทศ กับพวก และพนักงานอัยการ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรณีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2558 ชูวงษ์ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์หรูยี่ห้อเลกซัสสีดำ ชนต้นไม้ มี พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย เป็นคนขับ มี ชูวงษ์นั่งข้างๆ โดยชนต้นไม้ริม ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 48 กับซอย 50 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กทม. เป็นเหตุให้ ชูวงษ์ ถึงแก่ความตาย ซึ่งโจทก์มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นการฆาตกรรมอำพราง ชูวงษ์ แต่ พ.ต.ท.บรรยิน ให้การปฏิเสธอ้างเป็นอุบัติเหตุ 

วันนี้ (20 ม.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาให้ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย ฟังผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไปยังตัวจำเลยที่เรือนจำ ซึ่งจำเลยถูกจำคุกในคดีปลอมเอกสารโอนหุ้นของ ชูวงษ์และคดีอุ้มฆ่าพี่ชายของผู้พิพากษา ขณะที่บรรยากาศในวันนี้ มี วันเพ็ญ ธนธรรมสิริ พี่สาวของ ชูวงษ์ วราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ภรรยา และ วรภัทร์ ตั้งภากรณ์ ลูกชายของ พ.ต.ท.บรรยิน พร้อมทีมทนายความเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย

จากนั้น ศาลขึ้นนั่งบัลลังค์ ใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง บรรยายพฤติการณ์ ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานโดยละเอียด เกี่ยวกับพยานหลักฐานโจทก์ที่มีทั้งกล้องวงจรปิด พยานผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ และพยานแวดล้อม ที่พิสูจน์ได้ว่าการกระทำของจำเลยมีพิรุธ ชูวงษ์ไม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แต่ถูกจำเลยร่วมกับผู้อื่นฆ่าตาย โดยมีการพิสูจน์อย่างชัดเจนว่ารอยช้ำที่ศีรษะด้านหลังข้างซ้ายไม่ได้เกิดจากการกระแทกในระหว่างชนต้นไม้ แต่เป็นลักษณะของการถูกของแข็งไม่มีคมมากระแทกศีรษะจนเกิดเลือดคลั่งภายใน ทำให้เกิดภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตา ทำให้ดวงตาคล้ำ มีเลือดไหลออกจากโพรงจมูกลงมาเป็นหยดที่พื้นจำนวนมาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับรอยแผลถลอกตามร่างกายที่มาจากอุบัติเหตุ เพราะหากเป็นการเสียชีวิตจากอุบัติรถชน รอยเลือดจะกระเซ็น และบริเวณส่วนที่โหนกนูนตามใบหน้า ไม่มีรอยแผลที่เกิดจากการกระแทก

ขณะที่ก่อนเกิดเหตุ พ.ต.ท.บรรยิน ได้ร่วมทานอาหารกับ ชูวงษ์ ที่สนามกอล์ฟ เมื่อตรวจสอบในกระเพาะอาหารยังพบเศษเนื้อและผักซึ่งไม่มีการย่อยไปยังลำไส้เล็กส่วนบน ซึ่งกระบวนการย่อยอาหารจะเกิดขึ้นหลังทานอาหารไปแล้ว 30 นาที จึงเชื่อได้ว่า ชูวงษ์ เสียชีวิตภายใน 30 นาทีหลังออกจากสนามกอล์ฟ เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ก่อนเกิดเหตุช่วงประมาณ 22.00 น. ซึ่งใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง แต่จากการตรวจพิสูจน์พบว่าเจ้าหน้าที่ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กลับใช้เวลาเพียง 40 นาที ซึ่งไม่สอดคล้องกับคำให้การของ พ.ต.ท.บรรยิน ที่กล่าวว่าตนขับรถด้วยความเร็ว 80 กม./ชม.

เมื่อพิจารณาร่วมกับคดีปลอมเอกสารการโอนหุ้นของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่มี พ.ต.ท.บรรยิน เป็นจำเลย จึงเชื่อได้ว่ามูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุฆาตกรรมครั้งนี้ เกิดจากการปลอมแปลงเอกสารในการโอนหุ้น หาก ชูวงษ์ยังมีชีวิตจะต้องล่วงรู้ถึงการกระทำดังกล่าว จึงวางแผนฆาตกรรมโดยร่วมกับบุคคลอื่นที่ยังไม่ทราบชื่อและจำนวน เนื่องจากผู้ตายมีลักษณะรูปร่างใกล้เคียงกับจำเลย จึงเป็นไปได้ยากที่จำเลยจะลงมือฆ่าด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีบาดแผล

ขณะที่จำเลยเคยรับราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ย่อมรู้กฎหมายเป็นอย่างดี แต่กลับกระทำผิดเสียเอง ไม่เคยสำนึก และให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ไม่มีเหตุให้ลดโทษ ศาลจึงพิพากษาว่า พ.ต.ท.บรรยิน มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ลงโทษประหารชีวิต ส่วนคำร้องที่โจทก์ขอให้ศาลนัดโทษต่อจากสองคดีก่อนหน้านี้นั้น ในคดีนี้ศาลลงโทษประหารชีวิตซึ่งเป็นโทษสูงสุดแล้ว ให้ยกคำร้อง

ด้าน วันเพ็ญ ธนธรรมศิริ พี่สาว ชูวงษ์ กล่าวว่า รู้สึกพอใจกับคำตัดสินของศาล คุ้มค่ากับระยะเวลาที่รอมานาน ขอบคุณองคณะผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว และขอบคุณสื่อที่ติดตามคดีนี้มาโดยตลอด ส่วนตัวเชื่อว่ามีคนอื่นที่ร่วมกันฆาตกรรมน้องชายตนเอง เนื่องจากในคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาก็มีผู้ร่วมลงมือก่อเหตุ พร้อมกับขอแสดงความเสียใจไปยังผู้พิพากษาที่ต้องสูญเสียพี่ชายจากคดีโอนหุ้น