ไม่พบผลการค้นหา
ปัญหาความขัดแย้งเรื่องปราสาทพระวิหารเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2501 เนื่องจากไทยและกัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ

ปัญหาความขัดแย้งเรื่องปราสาทพระวิหารเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2501 เนื่องจากไทยและกัมพูชาถือแผนที่คนละฉบับ

ส่งผลให้ในปี พ.ศ.2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา หลังจากนั้นกรณีปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ก็ถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมืองอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

 

15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 และยังตัดสินให้ไทย ส่งคืนโบราณวัตถุที่นำออกมาจากปราสาทพระวิหาร ตั้งแต่ พ.ศ. 2497 คืนให้กับกัมพูชาทั้งหมด

คำตัดสินนี้สร้างความไม่พอใจให้กับคณะผู้แทนฝ่ายไทยเป็นอย่างมาก โดยทนายความฝ่ายไทย เช่น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กล่าวภายหลังการตัดสินว่า "คำพิพากษาศาลโลกผิดพลาดอย่างยิ่ง... แม้อีกร้อยสองร้อยปี คำพิพากษาของศาลโลกครั้งนี้ จะไม่ทำให้นักกฎหมายคนใดในอนาคตเห็นด้วยเลย"

ด้านนายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น กล่าวว่า "ไม่เคยเห็นการวินิจฉัยกฎหมายระหว่างประเทศที่หละหลวม เช่นคำพิพากษานี้" พร้อมส่งหนังสือประท้วงคำพิพากษาของศาลโลก โดยอ้างว่า "คำพิพากษานั้น ขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม รวมทั้งยังสงวนสิทธิที่ประเทศไทย จะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคตด้วย"

ขณะที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แถลงการณ์ต่อประชาชนเรื่องปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2505 ระบุว่า "สักวันหนึ่งไทยจะต้องเอาปราสาทพระวิหารคืนมาให้จงได้" 

เหตุผลที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชานั้น เกิดมาจากการที่คณะผู้พิพากษาส่วนใหญ่ ยอมรับแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของผู้แทนฝ่ายกัมพูชา ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2450 เนื่องจากทางการไทยขอให้ฝรั่งเศสจัดทำแผนที่พรมแดน หนึ่งในนั้นเป็นแผนที่ที่ฝรั่งเศสลากเส้นเขตแดนให้เขาพระวิหารไปอยู่ในฝั่งกัมพูชา โดยมิได้ยึดแนวสันปันน้ำเป็นเกณฑ์ โดยประเทศไทยไม่เคยปฎิเสธหรือคัดค้านแผนที่ฉบับนี้เลย ทำให้ศาลโลกพิจารณาว่า ประเทศไทยยอมรับว่า ฝรั่งเศสมีอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร เป็นเวลายาวนานถึง 50ปี ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ว่าด้วยหลักกฎหมายปิดปาก

โดยผู้พิพากษาที่ตัดสินให้กัมพูชาชนะคดี อย่างนายโบดาน วินิอาร์สกิ ประธานคณะผู้พิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ชาวโปแลนด์ กล่าวว่า "เห็นได้ชัดเจนว่า อารยธรรมตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แม้กระทั่งแผนที่ของกัมพูชาอีกด้วย"

แต่ตลอดระยะเวลากว่า 50ปี ภายหลังศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา กลับเกิดความขัดแย้งตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง กัมพูชาจึงใช้โอกาสนี้ยื่นคำร้องให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ.2505 อีกครั้ง เพื่อให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทรอบปราสาทพระวิหาร และให้ยูเนสโก้ยอมรับแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารง่ายขึ้น

 

Produced by VoiceTV

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog