ไม่พบผลการค้นหา
นางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลของอังกฤษ ที่มีความเด็ดเดี่ยวในด้านนโยบายและการบริหารจนเป็นที่เลื่องลือ

นางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลของอังกฤษ ที่มีความเด็ดเดี่ยวในด้านนโยบายและการบริหารจนเป็นที่เลื่องลือ  

 

เมื่อพูดถึงผู้นำหญิงของโลกยุคใหม่ เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงชื่อของนางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลของอังกฤษเป็นอันดับแรก ในฐานะผู้นำที่เข้มแข็งของชาติมหาอำนาจ ที่มีความเด็ดเดี่ยวในด้านนโยบายและการบริหารจนเป็นที่เลื่องลือ  

 
นางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ มีชื่อเดิม มาร์กาเรต ฮิลดา โรเบิรตส์ เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2468 ที่เมืองแกนท์แฮม แคว้นลินคอล์นเชียร์ ในครอบครัวชนชั้นสูง เธอจบการศึกษาในสาขาวิชาเคมี จากวิทยาลัยซอเมอร์วิลล์ มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ในปี พ.ศ. 2489 และสมรสกับพันตรีเดนิส แทตเชอร์ในปี 2494
 
เธอเข้าสู่แวดวงการเมืองครั้งแรกในปี 2493 โดยลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตดาร์ทฟอร์ด แต่ยังไม่ได้รับเลือกตั้ง   แต่การลงสนามเลือกตั้งครั้งที่ 2 ในปี 2502 ที่เขตฟินช์ลีย์  เธอได้รับความไว้วางใจจากชาวอังกฤษ 
 
และอีก 18 ปีต่อมา  สมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยม ยังเลือกให้เธอดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แทนนายเอ็ดเวิร์ด ฮีท นับเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองอังกฤษ
 
และในปี  2522 เธอก็ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เป็นสตรีคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ และดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 11 ปี ยาวนานที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์อังกฤษ
 
ในช่วงที่นางแทตเชอร์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี อังกฤษกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนัก รัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมภายใต้การนำของเธอ จึงเน้นนโยบายปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และบริหารประเทศด้วยความเฉียบขาด สนับสนุนภาคเอกชนและแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ด้วยการกระจายหุ้น ลดภาษีเงินได้ รวมถึงลดบทบาทของสหภาพแรงงาน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบโครงสร้างพื้นฐานในสังคมอย่างรุนแรง 
 
ในด้านการต่างประเทศ รัฐบาลของนางแทตเชอร์เน้นความร่วมมือกับสหรัฐฯในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน อย่างใกล้ชิด และมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปฏิรูปสหภาพโซเวียต โดยนายมิคาอิล กอบอชอฟ ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในที่สุด
 
การใช้อำนาจตัดสินใจอย่างเด็ดขาดโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของนางแทตเชอร์ เป็นบุคลิกที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ซึ่งเธอแสดงให้เห็นอยู่เสมอ เช่นในเหตุกรณ์ข้อพิพาทการอ้างสิทธิ์เหนือหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ ในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ ระหว่างอังกฤษและอาร์เจนตินา เมื่อปี 2525 ที่เธอตัดสินใจส่งกองกำลังไปจู่โจมชิงหมู่เกาะคืนทันทีที่อาร์เจนติน่าส่งกำลังทหารเข้ายึดครองหมู่เกาะ  และจบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษ ซึ่งส่งผลให้เธอชนะการเลือกตั้งในปีต่อมาอย่างถล่มทลาย และได้รับการขนานนามว่านายกฯหญิงเหล็ก นับตั้งแต่นั้น 
 
อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจแบบเด็ดขาดบ่อยครั้งในช่วงปลายสมัย ก็ทำให้ความนิยมในตัวเธอเริ่มเสื่อมลง จนเกิดกระแสกดดันภายในพรรค จนสุดท้ายเธอก็ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม ในเดือนพฤษจิกายน 2533
 
หลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เธอได้หันมาทำงานด้านการกุศลและเขียนหนังสือ รวมถึงเดินทางเยือนต่างประเทศในฐานะตัวแทนรัฐบาลอังกฤษหลายครั้ง 
 
ปัจจุบัน นางแทตเชอร์ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นบารอเนส ในวัย 85 ปี ยังคงมีสุขภาพแข็งแรงดี และยังคงออกงานสังคมเป็นครั้งคราว ครั้งล่าสุดคือในพิธีเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงแคทรีน
 
Produced by VoiceTV
Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog