รายงานพิเศษ ชุด อารยธรรมพุทธภูมิ ตอน ท่องวิหารคาจูราโฮ... สำรวจร่องรอยอารยธรรม
สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 นำคณะผู้บริหารสถาบัน และสื่อมวลชน ทัศนศึกษาในประเทศอินเดีย เป็นกิจกรรมที่จัดเป็นประจำทุกปีหลังปิดอบรมหลักสูตรการส่งพระธรรมทูตไปปฎิบัติธรรมเชิงลึก ณ.แดนพุทธภูมิ ในปีนี้เป็นการทัศนศึกษา "สิ่งมหัศจรรย์ของอินเดีย"ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 นำทีมข่าววอยซ์ทีวี ทัศนศึกษายังดินแดนพุทธภูมิ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีหลังจากจบการปิดอบรมหลักสูตรส่งพระธรรมทูตไปศึกษาและปฏิบัติธรรมเชิงลึก ณ.แดนพุทธภูมิ ในปีนี้สถาบันโพธิคยาฯ นำผู้บริหารสถาบันและสื่อมวลชน ทัศนศึกษา "สิ่งมหัศจรรย์ของอินเดีย" ที่ได้รับการประกาศรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก
ในระหว่างการทัศนศึกษาจะมีการบรรยายธรรม และนำสวดมนต์โดยพระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของสถาบัน ประกอบด้วย พระธรรมวรนายก ประธานที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา พระเทพโพธิวิเทศ ผู้อำนวยการหลักสูตร และหัวหน้าพระธรรมทูตสายอินเดียเนปาล พระเมธีวรญาณ และพระครูวรนายกธรรมาวุธ
จุดแรกของการทัศนศึกษาเริ่มจากเมืองคาจูราโฮ เมืองเล็ก ๆในเขตรัฐมัธยประเทศ ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศอินเดีย ห่างจากกรุงนิวเดลีเมืองหลวงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 620 กิโลเมตร ปัจจุบันนี้เมืองคาจูราโฮกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทโบราณสถานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของอินเดีย แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนปีละไม่ต่ำกว่า 1 แสน 5 หมื่นคน
กลุ่มมหาวิหารคาจูราโฮแห่งอาณาจักรจันทร์ดิลาโบราณ สร้างขึ้นระหว่างปีคริสศักราช 950-1050 เพื่อบูชาต่อมหาเทพแห่งศาสนาฮินดู แม้จะสร้างขึ้นในหลายช่วงเวลาระหว่างศตวรรษที่ 9 ถึง 11 แต่ด้วยพื้นฐานด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอินโด อารยันที่มีความต่อเนื่อง ทำให้บรรดาวิหารจำนวน 85 หลังที่กระจายอยู่ในพื้นที่กว่า 21 ตารางกิโลเมตร มีความสวยงามกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันเหลือวิหารอยู่เพียง 25 หลัง กลุ่มมหาวิหารแห่งคาจูราโฮได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี 1986 ถือเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของอินเดีย
ความโด่งดังของมหาวิหารคาจูราโฮ คือการได้ชื่อว่าเป็นวิหารแห่งกามสูตร เนื่องจากผนังของวิหารเหล่านี้มีรูปแกะสลักในท่วงท่ากามาอันวิจิตร สลักเสลาอยู่รายรอบ ถึงแม้รูปสลักกามสูตรจะมีไม่มากนักประมาณ 10 %เมื่อเทียบกับรูปสลักหินทรายนับพัน ๆรูป ที่สลักเสลารูปประติมากรรมเทพเจ้า นางอัปสร วิถีชีวิตประจำวันของชาวเมืองในยุคนั้น รูปสลักที่อยู่รายรอบกลุ่มมหาวิหารคาจูราโฮ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มแรกคือเทพเจ้า กลุ่มที่สองคืออัปสราหรือนางฟ้า กลุ่มที่สามรูปคนทั่วไปซึ่งกามสูตรจัดอยู่ในกลุ่มนี้ กลุ่มที่สี่ คือ กลุ่มสัตว์ต่าง ๆ
กลุ่มวิหารของคาจูราโฮ แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ กลุ่มวิหารฝั่งตะวันออก และกลุ่มวิหารฝั่งตะวันตก เช่นวัดลักษมันวิศวนาถ มหาเทวาลัยที่สร้างถวายพระวิษณุ สลักเสลาประติมากรรมเทพเจ้า นางอัปสร และวิถีชีวิตประจำวันของชาวเมือง จึงมีรูปสลักกามสูตรรวมอยู่ด้วย คำถามที่น่าค้นหาคำตอบคือ ทำไมจึงมีรูปสลักอิโรติคอยู่ในวิหารอันเป็นสถานที่สมควรแก่การเคารพสูงสุด
หากย้อนกลับไปดูแนวคิดของลัทธิตันตระในศาสนาฮินดู จะพบว่าปรัชญาในการเข้าถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต คือ การหลอมรวมจิตวิญญาณของมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้า การแสดงออกในรูปการร่วมรักระหว่างชายหญิง หรือ การแสดงความรักโดยการโอบกอดของเทพเจ้า จึงเป็นการสื่อถึงการรวมกายและวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว
หรืออีกนัยหนึ่งรูปสลักกามสูตรอาจใช้เพื่อการพิจารณาฝึกฝนตนให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อตัณหาราคะ เพื่อก้าวไปสู่การหลุดพ้นตามแนวคิดของนิกายตันตระของศาสนาฮินดู เช่นเดียวกับการปลงอสุภะ หรือการปลงสังเวชตามแนวทางของพุทธศาสนา พุทธศาสนาในอินเดียได้นำแนวคิดของตันตระมาผสมผสานด้วยเป็น พุทธตันตระยานที่เกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายก่อนที่พุทธศาสนาจะเสื่อมสลายไปจากอินเดีย งานศิลปะแกะสลักเหล่านี้ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าแนวความคิดแบบตันตระแฝงอยู่ในหลายศาสนา ในสมัยอดีตกาล เพราะไม่ว่า มนุษย์ สัตว์ หรือเทพเจ้าก็ไม่พ้นการเสพสังวาสทั้งสิ้น
จวบจนกระทั่งทุกวันนี้มหาวิหารคาจูราโอยังคงเป็นภาพสะท้อนความศักสิทธิ์และความเป็นที่เคารพบูชาของศาสนาฮินดู ผ่านวิถีชีวิตของชาวเมืองคาจูราโฮ ศาสนสถานที่กลายเป็นหนึ่งในมรดกโลกเกิดจากาการสร้างสรรค์เพื่อบูชาต่อมหาเทพ หรือเทพเจ้าในยุคสมัยกว่า 1 พันปีล่วงมาแล้ว ด้วยความศรัทธาและจิตที่มุ่งมั่นในการหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง