ไม่พบผลการค้นหา
พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจของแบรนด์ไนกี้ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกีฬายี่ห้อดังสัญชาติสหรัฐฯ เนื่องในโอกาสที่ปีนี้ ครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งไนกี้ จุดเริ่มต้นของแบรนด์นี้เป็นอย่างไร และชื่อไนกี้ รวมถึงโลโก้ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีที่มาจากไหน

พบกับเรื่องราวที่น่าสนใจของแบรนด์ไนกี้ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกีฬายี่ห้อดังสัญชาติสหรัฐฯ เนื่องในโอกาสที่ปีนี้ ครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งไนกี้ จุดเริ่มต้นของแบรนด์นี้เป็นอย่างไร และชื่อไนกี้ รวมถึงโลโก้ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีที่มาจากไหน

เนื่องในโอกาสที่ไนกี้เข้าสู่ปีที่ 50 ในปีนี้ ทาง Business Insider จึงนำเรื่องราวที่น่าสนใจของไนกี้ ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน มาเผยแพร่

โดยจุดเริ่มต้นของไนกี้นั้น เกิดขึ้นในปี 2507 ในชื่อบลูริบบ้อน และทำการจัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ญี่ปุ่น Onitsuka Tiger  ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นไนกี้อย่างเป็นทางการในปี 2514 ผู้ก่อตั้งไนกี้ คือ บิล บาวเวอร์แมน โค้ชกรีฑาของมหาวิทยาลัยโอเรกอน ที่สร้างชื่อเสียงให้กับทีมชาติสหรัฐฯในการแข่งขันโอลิมปิกหลายครั้ง และฟิล ไนท์ นักวิ่งระยะกลางจากพอร์ทแลนด์ ซึ่งเคยเรียนในมหาวิทยาลัยโอเรกอน ซึ่งช่วงเริ่มต้นกิจการนั้น ไนกี้มีเงินในธนาคารแค่ 1,200 ดอลลาร์เท่านั้น

ในช่วงแรก ไนท์ต้องการตั้งชื่อกิจการนี้ว่า "ไดเมนชั่น ซิกซ์" (Dimension 6) แต่ก็ได้ข้อสรุปว่าเป็นชื่อไนกี้ในตอนท้าย โดยไนกี้นั้น เป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งชัยชนะของกรีกโบราณ 

รองเท้าคู่แรกของไนกี้ มีจุดกำเนิดมาจากเครื่องทำวาฟเฟิลของภรรยาบาวเวอร์แมน ซึ่งเช้าวันหนึ่ง ภรรยาของเขากำลังทำวาฟเฟิล บาวเวอร์แมนจึงเกิดไอเดียเรื่องการทำพื้นรองเท้ากีฬา ที่ต่างไปจากเดิม เพื่อให้เกิดการยึดเกาะพื้นสนามมากยิ่งขึ้น ซึ่งในเวลาต่อมา บาวเวอร์แมนจึงนำไปจดลิขสิทธิ์ ในชื่อของ “Nike Waffle Trainer” ในปี 2517 

โลโก้ไนกี้ ที่เห็นเป็นเครื่องหมายถูก อย่างที่ทุกคนคุ้นตากันเป็นอย่างดีนั้น ออกแบบโดยนักศึกษามหาวิทยาลัยโอเรกอน ชื่อว่า แคโรลิน เดวิดสัน ค่าออกแบบในตอนนั้น อยู่ที่ 35 ดอลลาร์ ซึ่งถ้าเทียบกับตอนนี้ก็ประมาณ 200 ดอลลาร์ ปัจจุบัน เดวิดสันได้ถือหุ้นในไนกี้ คิดเป็นมูลค่ากว่า 640,000 ดอลลาร์ หรือราว 21 ล้านบาท 

ส่วนสโลแกนคำว่า “Just Do It” มาจากแกรี กิลมอร์ ฆาตกรชื่อดังของโอเรกอน ที่ต้องโทษประหารชีวิต ซึ่งก่อนหน้าที่เขาจะถูกประหาร เขาได้พูดคำว่า “let’s do it”  ซึ่งคำดังกล่าวถูกเปิดเผยในเวลาต่อมา และกลายเป็นคำพูดที่ถูกโจษจันไปทั่วโอเรกอนและทั่วสหรัฐฯ 

จากนั้น ไนกี้ได้ยึดสโลแกนนี้ ในการโปรโมทสินค้ามาโดยตลอด และนำมาใช้ในโฆษณาครั้งแรก เมื่อปี 2531 ซึ่งโฆษณาดังกล่าวนำแสดงโดยวอลท์ สแตค นักวิ่งระดับตำนานวัย 80 ปี โดยใช้ฉากของสะพานโกลเด้น เกทในซานฟรานซิสโกเป็นตัวเดินเรื่อง

อีกหนึ่งตำนานของไนกี้คือ ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเกตบอลชื่อดัง ที่ถือเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยให้ไนกี้ โด่งดัง และมียอดขายถล่มทลาย และแม้ว่าจอร์แดน จะเลิกเล่นบาสเกตบอลอาชีพตั้งแต่ปี 2546 แต่จอร์แดนก็ยังมีรายได้หลักต่อปีกว่า 60 ล้านดอลลาร์จากไนกี้ และกลายเป็นบุคคลที่ไนกี้เป็นผู้สนับสนุนหลักมาโดยตลอด
และหากพูดถึงโฆษณาของไนกี้ ที่โด่งดังที่สุดอีกชิ้นหนึ่ง คงหนีไม่พ้นโฆษณารองเท้ารุ่น Air Max ในปี 2530 ซึ่งโฆษณานี้ ใช้เพลง “Revolution” ของวง The Beatles มาเป็นเพลงประกอบ ถือเป็นครั้งแรกที่เพลงของ The Beatles มาอยู่ในโฆษณาสินค้าทางโทรทัศน์ 

สุดท้าย น้อยคนนักที่จะทราบว่า ไนกี้ สตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ บ้านเกิดของไนกี้แต่อย่างใด แต่กลับอยู่บนถนนออกซ์ฟอร์ด ในกรุงลอนดอนของอังกฤษ ที่นี่ใช้งบก่อสร้างมากถึง 10 ล้าน 5 แสนปอนด์ หรือราว 546 ล้านบาท มีทั้งหมด 3 ชั้น ครอบคลุมพื้นที่กว่า 42,000 ฟุตเลยทีเดียว

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog