ไม่พบผลการค้นหา

Blog

'กาลเทศะ' ใน 'กะลาเทศะ'
Nov 5, 2014
( Last update Nov 5, 2014 02:22 )
'กาลเทศะ' ใน 'กะลาเทศะ'

หลังจากคลิปคู่รักถูกมนุษย์ป้าด่าทอสาดเสียเทเสียในรถไฟฟ้า อ้างว่าเพราะทั้งคู่พลอดรักกันในที่สาธารณะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ขัดธรรมเนียมอันแสนดีของไทยแลนด์ แพร่สะพัดไปทั่วทุกที่ที่อินเตอร์เน็ทเข้าถึง ก็กลายเป็นประเด็นที่ซับซ้อนกว่าแค่ “กาลเทศะ” เพราะบังเอิ๊ญญ!! เหยื่อในคลิปเป็นคู่หญิงรักหญิง และคลิปนั้นหักมุมด้วยคนที่เข้ามาสมทบด่า (หรือที่เรียกว่า “เผือก”) คู่หญิงรักหญิงนั้นคือ กะเทย แต่เดี๋ยวนะ !!...มันยังหักมุมไม่พอ คนที่อัดคลิปก็เป็นตุ๊ดนางนึงในรถไฟฟ้า ด้วยความตั้งใจจะประจานหญิงรักหญิงคู่นั้น และเมื่อคลิปนั้นแพร่กระจายออกไป จนมีคนรุมด่าคู่รักนั้นก็ดูนางจะภูมิอกภูมิใจ เหมือนได้ผดุงคุณธรรมสรรสร้างประเพณี

แต่ก่อนที่จะซับซ้อนไปถึงการแสดงความรักของคนรักเพศเดียวกัน เรื่องของกาลเทศะและพื้นที่สาธารณะ-พื้นที่ส่วนบุคคล ก็เป็นประเด็นที่ต้องถกกัน เพราะนับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา สังคมไทยก็เริ่มจะมากำหนดพื้นที่นอกบ้าน-ในบ้าน, สาธารณะ-ส่วนบุคคลกันจริงๆจังๆ ตามจริตของชนชั้นกลางที่เพิ่งถือกำเนิด และสมาทานเอาสำนึกชาวตะวันตกคริสเตียนผิวขาวในยุคVictorian และพฤติกรรมการแบ่งเขตพระราชฐานชั้นนอก(สำหรับผู้ชาย) ชั้นใน(สำหรับผู้หญิง) ของชนชั้นเจ้าสยามมาใช้อย่างชัดเจน

พื้นที่นอกบ้านหรือสาธารณะจึงถูกนิยามให้เป็นพื้นที่แห่งการขับเคลื่อนแข่งขันเศรษฐกิจการเมืองที่ต้องใช้หลักการและเหตุผล วัฒนธรรม ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเก็บไว้ใช้ในบ้าน ในพื้นที่ส่วนตัวพอๆกับที่เก็บผู้หญิงไว้ใช้งานในครัวเรือน กลายเป็นการแบ่งแบบคู่ตรงข้าม สาธารณะ-ส่วนบุคคล, ชาย-หญิง, ดี-เลว, ฉลาด-โง่, แข็งแกร่ง-อ่อนแอ, เหตุผล-อารมณ์ ซึ่งถ้าเชื่อเรื่องพื้นที่ส่วนตัว-สาธารณะกันอย่างเคร่งครัด มนุษย์ป้านั่นก็จะไม่มีโอกาสได้ออกมาเพ่นพ่านเที่ยวด่าคนนั้นคนนี้ในBTSหรอก เพราะนางจะเป็นได้แต่แม่และเมีย เลี้ยงลูกเฝ้าบ้าน ดูดส้วม ทำครัว ปรนนิบัติพัดวีสมาชิกในบ้าน เพราะสังคมกำหนดให้ผู้หญิงอยู่แต่ในพื้นที่บ้าน ให้ผู้ชายออกมาทำมาหากินข้างนอก ผิดกับก่อนหน้านั้นที่ผู้หญิงผู้ชายต่างทำงานในบ้านนอกบ้านร่วมกัน จับปลา หาผลไม้ ค้าขาย เพาะปลูก หุงต้มร่วมกัน และต่างก็ “featuring” กันตามแม่น้ำลำคลอง ลอมฟาง สุมทุมพุ่มไม้ ริมทะเล ไม่มานั่งกำหนดว่าอะไรทำได้ไม่ได้บ้างภายในบ้านหรือนอกบ้าน

และ “อะไรทำได้ไม่ได้บ้าง” ก็เป็นเรื่องของ “กาลเทศะ” ซึ่งเอาตามตัวอักษรแปลว่า เวลาและสถานที่ ใช้ในสำนึกให้ระมัดระวังว่าอะไรควรไม่ควรทำหรือประพฤติอย่างไรในเวลาและสถานที่ต่างๆ ตามข้อตกลงร่วมกันอย่างหลวมๆไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เปลี่ยนไปตามบริบทสังคม อย่างการไว้ทุกข์ในงานศพก็ไม่ได้นุ่งห่มดำกันเหมือนปัจจุบันซึ่งเป็นกาลเทศะแบบตะวันตกที่เพิ่งรับมา แต่กาลเทศะงานศพในอดีต ใครใคร่ห่มสีอะไรก็ห่ม

“กาลเทศะ” จึงมีกาลเทศะของมัน ในบางสังคมอาจจะยึดถือเคารพกาลเทศะ ความเหมาะสมเหนือกว่าสิทธิเสรีภาพและการเคารพปัจเจกบุคคลซึ่งกันและกัน โดยไม่คำนึงว่าการใช้สิทธิเสรีภาพแต่ขัดกาลเทศะนั้นอาจจะไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรเลยก็ได้ และในสังคมที่เป็นเสียเช่นนี้มักสามารถใช้ “กาลเทศะ” อ้างความชอบธรรมในการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นได้ เช่นการเผือก การเข้าไปก้าวร้าวระรานหรือถ่ายคลิปประจานเพื่อรักษากาลเทศะที่ตนยึดถือ โดยไม่ได้คำนึงว่า พื้นที่สาธารณะในปัจจุบันคือพื้นที่ที่ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ใครย่อมทำอะไรก็ได้ตามที่สิทธิเสรีภาพที่มี ตราบเท่าที่ไม่ไปทำลายทรัพย์สินสาธารณะหรือสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

แต่ถึงกระนั้น “ความเดือดร้อน” ก็เป็นสิ่งที่ต้องตีความเช่นเดียวกับ “กาลเทศะ” เพราะมันเป็นอัตตวิสัย ใครใคร่เดือดร้อนก็เดือดร้อนไป ขึ้นอยู่กับการตีความ ความรู้สึกรู้สาตามอคติ ทัศนคติ หรือเพดานความคิดในระดับปัจเจกบุคคล ถ้าเห็นคู่พลอดรักเป็นคู่รักต่างเพศ ผู้ชมอาจจะอดทนอดกลั้นได้มากกว่าคู่รักเพศเดียวกัน และถ้าคู่นั้นเป็นคู่ที่สวยหล่อแลดูมีออร่าจับ ผู้ชมก็จะได้แต่มองตาปริบๆริษยาแกมน้อยเนื้อต่ำใจตัวเอง ไม่ปรี่เข้าไปชี้หน้าด่าว่าหน้าไม่อาย หยาบๆคายๆ

ด้วยเหตุนี้ ระดับความรู้สึกเดือดร้อนและการให้ความสำคัญกับกาลเทศะจึงเป็นสิ่งที่ตั้งใจหรือเลือกมาแล้วด้วยปมส่วนตัว บางคนอาจจะขี้อิจฉาเก็บกด เพราะหาผัวไม่ได้ (ในสังคมที่เชื่อว่าต้องแต่งงาน มีลูกมีผัว) หรือโดนที่บ้านคลุมถุงชนจึงไม่รักคู่ตัวเอง พอเห็นใครสุขสมในรัก ใครอวดผัวบอกรักผัวหน่อย ก็พาลรำคาญหูรำคาญตา ชักดิ้นชักงอ แล้วไปก้าวร้าวคุกคาม หรือบางคนเป็นมนุษย์ดัดจริตมีศีลธรรมระดับกระแดะแต่ชอบเผือก ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็เดือดร้อนแทนไปหมด ไม่ต้องเห็นเกย์ เลสเบี้ยนจูบปากกันในรถไฟฟ้า แค่วัยรุ่นย้อมผมเขียวผมแดง ผู้หญิงไม่ใส่ยกทรง นุ่งกระโปรงสั้น เจาะจมูกระเบิดหู สักแขนสักขาบนเนื้อตัวร่างกายของเขาเองแท้ๆ ก็สามารถเกิดอาการเดือดร้อน หวงแหนกาลเทศะขึ้นมาได้

ร้ายไปกว่านั้น บางคนเชื่อว่าตนเองเกิดมามีกรรม รู้สึกลึกๆว่าเป็นชายขอบของสังคม จึงต้องพยายามปฏิบัติตามกาลเทศะ จารีต วิถีประชาอย่างเชื่องๆเพื่อผนวกตัวเองสู่ศูนย์กลางสังคม พอเห็นใครแหกขนบเท่านั้นแหละ ฉับพลันทันใดก็สถาปนาตนเองเป็นคนดีมีศีลธรรมกว่า ถีบคนนั้นไม่ให้มีพื้นที่ยืน เพียงเพื่อต้องการการยอมรับทางสังคม เช่นพยายามผลักไสไล่ส่งคนแสดงความรักใคร่กันในBTS

เห็นได้ชัดว่า การแสดงออกถึงความรักใคร่ที่เปิดเผยเพศสภาพเพศวิถีบนพื้นที่สาธารณะเป็นสิ่งผิดกาลเทศะสำหรับประเทศนี้ แต่การแสดงออกหรือประกาศความรักประเภทอื่นอย่างโฉ่งฉ่างนั้นถูกกาลเทศะ เช่น รักสัตว์ รักเด็ก รักดารานักแสดงลิเกนักร้อง ด้วยการชูป้ายไฟ, ร้องเพลงตาม, กรีดร้อง, คล้องพวงมาลัยธนบัตร หรือประกาศรักพ่อแม่ด้วยการกราบตีนโชว์บนเวที, มอบรังนกอวดสื่อ

เดชะบุญเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคลิปนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับฉันเวลาที่มีเเฟน เพราะฉันชอบจับมือจูบหอมพลอดรักไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม แหม่...ก็ใครบ้างล่ะ ไม่อยากแสดงฟามรักฟรุ้งฟริ้งๆกับคนที่เรารัก และแน่นอน ถ้ามีคนที่สะเออะเข้ามาประณาม ด่าทอ จะอ้างกะลาหรือกาลเทศะอะไรก็เถอะ ฉันพร้อมชูนิ้วกลางใส่ ไปจนกระชากหัวตบ หรือเหยียบหน้าอกถ่มน้ำลายรดหน้า ซึ่งมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับ “กาลเทศะ” อีกที

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog