วันที่สองของงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ สำนักพิมพ์มติชน จัดงานเสวนา 'I Am Malala หนังสือ และปากกา เหนือกว่าอาวุธ' ถอดบทเรียนจากเรื่องราวชีวิตเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพปีนี้ ที่อายุน้อยที่สุด สู่การปรับใช้ในสังคมไทย
ในงานเสวนาประกอบหนังสือ 'I Am Malala' หนังสือที่เล่าเรื่องการต่อสู้ของเด็กหญิงวัย 17 ปี 'มาลาลา ยูซาฟไซ' กับตาลิบัน เพื่อเรียกร้องสิทธิการศึกษาให้กับเด็กผู้หญิงในปากีสถาน
นางสิริกร มณีรินทร์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มองว่า สำหรับสังคมไทย ปัญหาหลักของการศึกษา ไม่ใช่เรื่องสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาอย่างในปากีสถาน แต่เป็นปัญหาเรื่องการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ โดยเห็นว่า 'มาลาลา' เป็นตัวอย่างของผลลัพธ์ จากการจัดการเรียนรู้โดยไม่ทิ้งหลักศาสนา แต่ขณะเดียวกันก็ให้อิสระในการคิด และตีความ
สำหรับบทเรียนสู่สังคมไทย นางพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม มองว่า มาลาลา เป็นตัวอย่างของการต่อสู้กับสิ่งที่กดขี่ทำให้สิทธิพื้นฐานไม่สามารถดำรงอยู่ได้ และเธอเลือกที่จะไม่ปิดปากเงียบ แต่ใช้วิธีต่อสู้ผ่านปลายปากกาโดยไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นแนวทางที่คนไทยสามารถใช้เป็นแบอย่างได้
นอกจากนี้ 'มาลาลา' ยังเป็นแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้สังคมไทย เห็นความสำคัญกับการจัดการศึกษาให้ทั่วถึง โดยเฉพาะให้กับเด็กๆ ที่อยู่ในสังคมชายขอบ
ด้านนายอนุสรณ์ ติปยานนท์ นักเขียนและนักแปล เห็นว่า ขณะนี้ไม่เพียงแต่กรณีของมาลาลาเท่านั้น แต่การตื่นตัวของเยาวชนในการชุมนุมที่ฮ่องกง โดยมีแกนนำวัย 17 ปีเช่นกัน อย่าง 'โจชัว หว่อง' สะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์พลังของเยาวชน ซึ่งเป็นผลมาจากระบบการเรียนรู้ ที่เปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และกว้างขวางขึ้น
ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามกับข้อมูลที่ถูกสอนมาแต่เดิม และเกิดแรงผลักดันให้อยากเปลี่ยนแปลงสังคม ตอกย้ำให้สังคมไทยได้เห็นว่า หัวใจของการศึกษาที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง คือการตั้งคำถาม ไม่ใช่เชื่อตามและท่องจำ