แพทย์ หัวหน้าหน่วยผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลศิริราช  ย้ำว่า การอุ้มบุญเป็นทางเลือกสุดท้าย สำหรับคนมีบุตรยาก เฉพาะคู่สมรสฝ่ายหญิงที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เอง ขณะที่ ความคลุมเครือทางกฎหมาย ทำให้เกิดช่องโหว่ในการอุ้มบุญ

 

การตรวจสอบเซลล์สืบพันธุ์ถึงระดับโครโมโซม เป็นขั้นตอนสำคัญ ที่สามารถตรวจสอบได้ว่า เซลล์สืบพันธุ์ของฝ่ายชาย ปกติ แข็งแรง ปราศจากโรคทางพันธุกรรม หรือ มีเชื้อโรคซึ่งเป็นอันตรายหรือไม่  วิธีการนี้ ช่วยให้แพทย์ สามารถคัดเลือกเซลล์สืบพันธุ์ ที่จะไม่เติบโตเป็นตัวอ่อนที่มีความผิดปกติ  ตลอดจนช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์

 

แพทย์หัวหน้าหน่วยผู้มีบุตรยาก บอกว่า เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าช่วยให้แพทย์สามารถตรวจสอบการเติบโตของตัวอ่อนที่ได้รับการผสมแล้ว แบบนาทีต่อนาที ก่อนทำการฉีดเข้าสู่มดลูกในกระบวนการผสมเทียม ทำเด็กหลอดแก้ว และ การอุ้มบุญ

 

อย่างไรก็ตาม การใส่ตัวอ่อนเพื่อการตั้งครรภ์แทนผู้อื่น หรือ อุ้มบุญ เป็นวิธีที่แพทย์ศิริราช วางไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย เฉพาะกรณีที่คู่สมรสฝ่ายหญิงไม่สามารถตั้งครรภ์เองได้ เนื่องจาก ไม่มีมดลูกแต่กำเนิด หรือ ถูกผ่าตัดเอาออก มดลูกมีพยาธิ มีสภาพหรือโรคประจำตัวที่รุนแรงจนทำให้การตั้งครรภ์ เป็นอันตรายต่อตนเอง

 

แพทย์ ให้ความเห็นว่า แม้ประเทศไทยจะเปิดเสรีให้ การอุ้มบุญ เป็นทางออกหนึ่งสำหรับผู้มีบุตรยาก แต่ท่ามกลางความไม่ชัดเจนของข้อกฎหมาย สวนทางกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้วิธีการอุ้มบุญเกิดช่องโหว่ และสามารถสร้างปัญหาได้ในระยะยาว เช่น หญิงที่คลอดบุตรถือเป็นแม่ตามกฎหมาย ถึงแม้ไข่จะเป็นของแม่ที่แท้จริงก็ตาม

 

ขณะที่การลงนามในใบยินยอมร่วมกันระหว่างคู่สมรสทั้งสองฝ่ายร่วมกับแพทย์นั้น มีผลเฉพาะการรักษาทางแพทย์เท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ไขสถานะความเป็นแม่ตามกฎหมายได้ 

 

หน่วยผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลศิริราช เป็นหนึ่งในสถานพยาบาลที่สามารถให้บริการแก่ผู้มีบุตรยาก ด้วยวิธีการอุ้มบุญ ซึ่งได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์ แพทย์หัวหน้าหน่วยเปิดเผยว่า แต่ละปี ศิริราชให้บริการด้วยวิธีอุ้มบุญ เฉลี่ยปีละ 3 ถึง 4 ครั้งเท่านั้น เนื่องจากวางไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย  ในขณะที่ สถานพยาบาลควรให้บริการด้วยเจตคติที่ดี ไม่กระทำเพื่อการค้า และคำนึงถึงความปลอดภัยของแม่ที่ทำหน้าที่อุ้มบุญมากที่สุด