แม้จะมีการกล่าวหากันไปมา แต่ดูเหมือนว่าทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็มีการสอดแนมทางไซเบอร์ซึ่งกันและกันอย่างเป็นจริงเป็นจังไม่น้อยหน้ากันนัก
แม้จะมีการกล่าวหากันไปมา แต่ดูเหมือนว่าทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็มีการสอดแนมทางไซเบอร์ซึ่งกันและกันอย่างเป็นจริงเป็นจังไม่น้อยหน้ากันนัก ขณะที่ทั่วโลกรู้จักโครงการสอดแนมของสหรัฐฯที่ถูกกเปิดโปงโดยวิกิลีกส์ กลับไม่ค่อยมีใครได้ยินชื่อของหน่วยสอดแนมไซเบอร์ของจีนมากนัก เราจะไปทำความรู้จักหน่วย 61398 นักรบไซเบอร์ของจีนกัน
หน่วย 61398 อาจจะไม่ค่อยเป็นที่คุ้นหูคุ้นตาของชาโลกเหมือนเวลาเราพูดถึงหน่วย FBI KGB หรือ MI-6 หน่วยสืบราชการลับของมหาอำนาจหลักๆในโลก แต่หลังจากข่าวการออกหมายจับ 5 นายทหารชาวจีนโดยสหรัฐฯ ในข้อหาละเมิดกฎหมายสอดแนมทางคอมพิวเตอร์ หน่วย 61398 ก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งไปทั่วโลก เพราะนายทหารทั้ง 5 นายที่ถูกกล่าวหาว่าแฮ็กข้อมูลบริษัทเอกชนในสหรัฐฯไปอย่างน้อย 6 แห่ง ล้วนสังกัดอยู่ในหน่วยนักรบไซเบอร์ 61398 ทั้งสิ้น
แม้จะไม่เคยมีรายงานยืนยันอย่างแน่ชัด แต่สื่อต่างประเทศหลายสำนักระบุตรงกันว่าหน่วย 61398 เป็นหน่วยทหารที่อยู่ใต้เงามืดของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน สำนักงานใหญ่ของหน่วยนี้ตั้งอยู่ชานนครเซี่ยงไฮ้ เป็นตึกใหญ่สูง 12 ชั้นรูปร่างธรรมดาสามัญ แต่มีการควบคุมบุคคลที่ผ่านเข้าออกอย่างเข้มงวด ภายในอาคารแห่งนี้ เชื่อกันว่ามีเจ้าหน้าที่อยู่หลายพันคน ทำหน้าที่เป็นหน่วยรบในโลกไซเบอร์ เจาะข้อมูลของประเทศต่างๆ ดักฟัง รวมถึงรับผิดชอบการเสาะหาข้อมูลต่างๆในโลกออนไลน์ตามแต่ทางกองทัพจะมอบหมาย
แมนเดียนท์ บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ชื่อดังของสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการว่าจ้างจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส หลังทางสำนักพิมพ์ถูกล้วงข้อมูลโดยแฮ็กเกอร์จีน เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกว่าผู้ที่ทำหน้าที่ในหน่วยนี้ นอกจากจะต้องมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์อย่างยอดเยี่ยมระดับหัวกะทิ ยังต้องมีทักษะภาษาอังกฤษอยู่ในขั้นดีอีกด้วย เนื่องจากเป้าหมายของปฏิบัติการที่หน่วยนี้รับผิดชอบ ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ แมนเดียนท์ยังสืบทราบว่าหน่วย 61398 เริ่มการปฏิบัติการอย่างน้อยตั้งแต่ปี 2006 และมีผลงานในการแฮ็กข้อมูลของเอกชนสหรัฐฯกว่า 140 แห่ง ในอุตสาหกรรมกว่า 20 สาขา รวมถึงสาขาที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญในแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตนเองอย่างอุตสาหกรรมเหล็ก
แน่นอนว่ารัฐบาลจีนปฏิเสธอย่างแข็งขันถึงการมีอยู่ของหน่วยนักรบไซเบอร์ในกองทัพ โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยยุ่งเกี่ยวหรือสนับสนุนการสอดแนมทางอินเทอร์เน็ต ในทางตรงกันข้าม จีนเองเป็นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการสอดแนมมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่หลายคดีที่สหรัฐฯสืบพบ กลับชี้ให้เห็นว่าจีนมีเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่แฮ็กข้อมูลจากทั่วโลก ซึ่งหมายความว่าหากรัฐบาลไม่ได้เป็นเจ้าของเครือข่ายสอดแนมอันทรงประสทธิภาพที่ว่านี้ ก็อาจไร้ประสิทธิภาพจนไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเครือข่ายแฮ็กเกอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในบ้านของตัวเอง