ไม่พบผลการค้นหา
คดีโมนิกา ลูวินสกี้ นับเป็นอื้อฉาวที่สุดในของทำเนียบขาว ซึ่งสั่นคลอนเก้าอี้ประธานาธิบดี จนนายบิล คลินตัน เกือบถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งวันนี้เราจะย้อนไปดูว่าคดีนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
คดีโมนิกา ลูวินสกี้ นับเป็นอื้อฉาวที่สุดในของทำเนียบขาว ซึ่งสั่นคลอนเก้าอี้ประธานาธิบดี จนนายบิล คลินตัน เกือบถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งวันนี้เราจะย้อนไปดูว่าคดีนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร  
 
หนึ่งในคดีทีอื้อฉาวที่สุดของทำเนียบขาว ที่นอกเหนือจากคดีวอเตอร์เกตในสมัยของนายริชาร์ด นิกสันแล้ว "คดีโมนิกา ลูวินสกี" เป็นอีกหนึ่งคดีที่สั่นคอนเก้าประธานาธิบดีเป็นอย่างมาก เนื่องจากคดีดังกล่าวไม่ใช่คดีทางการเมืองเหมือนคดีวอเตอร์เกต แต่เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่เหมาะสมระหว่าง นายบิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยนั้น กับนางสาวโมนิกา ลูวินสกี นักศึกษาฝึกงานทำเนียบขาว  
 
ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2538 ถึงเดือนมีนาคม 2540 นางสาวลูวินสกีอ้างว่า เธอมีความสัมพันธ์ทางเพศกับนายคลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯถึง 9 ครั้ง ด้วยการใช้ปากหรือออรัลเซ็กส์เท่านั้น โดยสองครั้งหลังเกิดขึ้น เมื่อนางสาวลูวินสกีถูกย้ายไปทำงานที่กระทรวงกลาโหม เนื่องจากหัวหน้างานเห็นว่า เธอใกล้ชิดกับประธานาธิบดีมากเกินไป
 
ในเดือนกันยายน 2540 นางสาวลูวินสกี้ตัดสินใจบอกความลับแก่เพื่อนร่วมงานทางโทรศัพท์คือ ลินดา ทริปป์ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับประธานาธิบดี ซึ่งนางทริปป์ได้ตัดสินใจบันทึกบทสนทนาดังกล่าวไว้ ก่อนถูกส่งไปยังนายเคนเนธ สตาร์ อัยการอิสระ เพื่อการสืบสวนเพิ่มเติม ระหว่างที่เขากำลังสืบสวนการทุจริตใน "คดีไวท์วอเทอร์" ซึ่งเกี่ยวข้องกับนายคลินตัน ทั้งนี้ คลิปเสียงดังกล่าวเป็นหลักฐานสำคัญในการขยายผลเอาผิดนายคลินตัน 
 
หลังข่าวฉาวนี้ถูกเปิดโปงในเดือนมกราคม 2541 นายคลินตันได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กับนางสาวลูวินสกี้แม้แต่ครั้งเดียว แต่การตรวจสอบคลิปเสียงและพันธุกรรมจากชุดเดรสสีฟ้าของนางสาวลูวินสกี้ที่ไม่ได้ซัก ตามคำแนะนำทางโทรศัพท์ของลินดา ทริปป์ กลับพบพันธุกรรมของนายคลินตัน ซึ่งต่อมานายคลินตันยอมรับว่ามีความสัมพันธ์กับนางสาวลูวินสกี้จริง แต่เป็นเพียงออรัลเซ็กส์เท่านั้น
 
ในเดือนธันวาคม 2541 สภาครองเกรสยื่นเรื่องถอดถอนนายคลินตันให้พ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี ตามมาด้วยการสอบสวนของวุฒิสมาชิกเป็นเวลา 21 วันเต็ม ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว วุฒิสมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตลงมติให้นายคลินตันไม่มีความผิดและไม่ถูกถอดถอนจากตำแหน่งด้วยคะแนนเสียง 55 ต่อ 45 เสียง
 
จากกรณีดังกล่าวส่งผลสำคัญต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2000 เมื่อนายอัล กอร์ ผู้สมัครชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต อดีตรองประธานาธิบดีในสมัยนายคลินตัน แพ้การเลือกตั้งให้แก่นายจอร์จ ดับเบิ้ล ยู บุช ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งนายอัล กอร์ มองว่า ความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อพรรคเดโมแครตนั้นหมดลงอย่างมาก
Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog