กระทรวงคลัง เตรียมย้ายโรงงานยาสูบไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตรองรับการขยายตัวของตลาด พร้อมปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ ลดลงร้อยละ 10 หลังปัญหาการเมืองทำเศรษฐกิจซบเซา
กระทรวงคลัง เตรียมย้ายโรงงานยาสูบไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตรองรับการขยายตัวของตลาด พร้อมปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ ลดลงร้อยละ 10 หลังปัญหาการเมืองทำเศรษฐกิจซบเซา
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงานครบรอบ 75 ปี วันคล้ายวันสถาปนาโรงงานยาสูบ พร้อมระบุ ในปี 2559 โรงงานยาสูบมีแผนย้ายจากคลองเตยไปอยู่ที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามแนวคิดโรงงานอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งจัดหาเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อให้ขั้นตอนการผลิตมีคุณภาพ สามารถบริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับการแข่งขันทางธุรกิจ และรองรับการขยายตัวของตลาดโลก
ปัจจุบัน ธุรกิจยาสูบ โดยเฉพาะการจำหน่ายบุหรี่ มีตลาดย่อยเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น และต้องปรับกลยุทธ์ตลาดให้ทันในแต่ละตลาด โดยนโยบายรัฐไม่ได้ต้องการแย่งส่วนแบ่งตลาด แต่ต้องการรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ แต่จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทำให้ต้องปรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้ ลงร้อยละ 10 มาอยู่ที่ 6.3 หมื่นล้านบาท จากเดิม 7 หมื่นล้านบาท
และในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเน้นรักษาสัดส่วนทางการตลาดของบุหรี่ไทยและต่างชาติ รวมถึงการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในแต่ละตลาด
ทั้งนี้ โรงงานยาสูบจะเน้นพัฒนาศักยภาพทุกด้านเพื่อให้ยาสูบไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เช่น การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยด้านการผลิต เพื่อให้ใบยาสูบมีคุณภาพ พัฒนาระบบการตลาด
ที่ผ่านมา โรงงานยาสูบสามารถนำรายได้ส่งรัฐบาลได้มากกว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA (จิสด้า) นำเทคโนโลยีระบบดาวเทียวมาใช้ ทำให้ได้ใบยาสูบที่มีคุณภาพ
ปัจจุบัน โรงงานผลิตยาสูบมีทั้งหมด 3 โรงงาน และยังมีสถานีทดลองยาสูบ 1 แห่ง รวมทั้งโรงอบยาอีก 1 โรงงาน ซึ่งเป็นโรงอบใบยาขนาดใหญ่ มีเครื่องจักรที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน สามารถอบยาได้ 28 ล้านกิโลกรัมต่อปี เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในอนาคตและการแข่งขันในตลาดโลก และยังสร้างรายได้ให้เกษตรกรกว่า 500 ล้านบาทต่อปี
