Culture Corner  ประจำวันที่ 10 เมษายน 2557 

 

Culture Corner วันนี้ เรามีเรื่องราวของมินิบาร์ ตามโรงแรมต่างๆ ที่เริ่มเสื่อมความนิยมลงเรื่อยๆ เนื่องจากจำนวนร้านสะดวกซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้ใช้บริการโรงแรม หันไปซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อแทนการใช้บริการจากมินิบาร์ ซึ่งในอนาคต มินิบาร์อาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป 

 

การเดินทางไปพักผ่อนตามโรงแรมต่างๆ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวที่ถูกจัดมาพร้อมกับมินิบาร์ ซึ่งเรียกได้ว่า ใครที่ชอบหิวเวลาดึกๆ หรือชอบดื่มเครื่องดื่มเคล้ากับการพักผ่อนยอมค่ำคืนแล้วล่ะก็ จะมีความสุขแบบสุดๆเมื่อเจอมินิบาร์ที่ถูกใจ

 

จุดเริ่มต้นของการให้บริการมินิบาร์นั้น เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกที่โรงแรมฮิลตัน ฮ่องกง ในปี 2517 โดยโรงแรมดังกล่าว ได้นำเครื่องดื่มหลากหลายชนิดมาไว้ในห้องพักทั้งหมด 840 ห้อง ซึ่งผลปรากฏว่า แขกที่มาพักชื่นชอบบริการดังกล่าวเป็นอย่างมาก และยอดขายเครื่องดื่มจากมินิบาร์ เพิ่มขึ้นถึง 500 เปอร์เซนต์ และเมื่อประเมินรายได้ตลอดทั้งปีของโรงแรมแล้วนั้น ถือว่าเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงร้อยละ 5 และจากนั้น มินิบาร์ก็ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

 

แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรงแรมชั้นนำของโลกได้ลดปริมาณของเครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยวในมินิบาร์ลง และปล่อยให้มีช่องว่างเพื่อให้ลูกค้าสามารถนำสินค้าที่ซื้อมาเองมาแช่ไว้ในตู้เย็นได้ ดูเหมือนว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่า มินิบาร์อาจจะไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่มาพักที่โรงแรมอีกต่อไป

 

ผลสำรวจล่าสุดของ TripAdvisor ระบุว่า มินิบาร์เป็นสิ่งที่ผู้ที่มาพักโรงแรม มองว่าสำคัญน้อยที่สุด ในบรรดาการให้บริการของโรงแรมทั้งหลาย ผู้ตอบแบบสอบถามแค่ร้อยละ 21 เท่านั้น ที่เห็นว่า มินิบาร์ยังมีความจำเป็น ขณะที่ สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด กลับเป็นอินเทอร์เน็ตไวไฟ หรือไม่ก็เป็นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมต่อในชีวิตประจำวันไปแล้ว

 

ขณะที่ ผลวิจัยจาก PKF Hospitality Research ก็เปิดเผยว่า มินิบาร์ทำรายได้แค่เพียงร้อยละ 1 ของรายได้ทั้งหมดของโรงแรม และรายได้จากมินิบาร์ยังลดลงถึงร้อยละ 28 ในช่วงปี 2550-2555 ที่ผ่านมา ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลพวงมาจากค่านิยมในการรับประทานอาหารแบบใหม่ ที่เน้นความสะดวกสบาย เหมือนการซื้อสินค้าจากเซเว่น อีเลฟเว่น

 

และสิ่งที่อาจทำให้แขกที่มาพักโรงแรม ตัดสินใจได้ไม่ยากว่าจะไม่ใช่บริการมินิบาร์อีกต่อไป ก็คือราคาสินค้าที่วางอยู่ในมินิบาร์นั้น แพงกว่าสินค้าชนิดเดียวกัน ที่ขายในร้านสะดวกซื้อมากกว่า 2 เท่า ซึ่งหากว่าโรงแรมที่พวกเขาพักนั้น อยู่ในตัวเมือง หรือย่านที่มีความเจริญสูง ก็จะหาร้านสะดวกซื้อได้ไม่ยากนัก ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานแมคคาเดเมีย ที่มีราคาแพงเกือบ 300 บาท ทั้งๆที่สามารถหาซื้อได้ในราคาไม่ถึง 100 บาทในร้านสะดวกซื้อ

 

ตอนนี้โรงแรมขนาดใหญ่หลายโรงแรมได้พยายามปรับตัว เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความนิยมในมินิบาร์ที่ตกต่ำลง ด้วยการประกาศให้มินิบาร์เป็นแพ็คเกจเสริม เช่นเดียวกันกับการได้รับประทานอาหารเช้าฟรี เพื่อให้แขกที่มาพักรู้สึกได้รับสิทธิพิเศษ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องอินเทอร์เน็ตไวไฟฟรี ซึ่งแคมเปญนี้ได้รับความสนใจจากแขกที่มาพักเป็นอย่างมาก