ไม่พบผลการค้นหา
คำพูดที่ว่า “อำนาจไม่เข้าใครออกใคร” เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย รวมทั้ง “ศึกสายเลือด จปร.” อันนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในยุคนี้ “3ป.บูรพาพยัคฆ์” ที่เป็นแกนหลักอำนาจมาตั้งแต่สมัย คสช. เกือบ 8 ปีเต็ม

แต่สัมพันธ์พี่น้อง “2ป.” ระหว่าง “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กำลังอยู่ในสภาวะ “ลุ่มๆดอนๆ” มีการวัดพลังเกิดขึ้นอยู่ตลอด ไม่เว้นแม้แต่ “ศึกทานข้าว” กับพรรคเล็ก

เริ่มจาก “บิ๊กตู่” นัดดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่กลับไม่ได้เชิญพรรคเล็ก แม้แต่พรรคที่มี ส.ส. 3-5 คน ก็ไม่ได้เชิญ ทำให้เกิดปฏิกิริยาจากพรรคเล็กขึ้น

จากนั้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ไปร่วมทานข้าวกับพรรคเล็กเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2565 พร้อมพูดในลักษณะจะดึงพรรคเล็กมาเติมเสียง “พรรคเศรษฐกิจไทย” ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง ตกเย็น “บิ๊กตู่” สั่งฝ่ายเสธ.นัดพรรคเล็กดินเนอร์ทันที พร้อมกับพรรคร่วม รบ. ระดับแกนนำ 17มี.ค. ที่สโมสรราชพฤกษ์ อีกครั้ง 

ทว่า “บิ๊กป้อม” กลับนัด “พรรคเล็ก” เข้าพบที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ ช่วงเย็นเมื่อวันที่ 14 มี.ค. ชนิดที่ว่า “ชิงจังหวะ” ก่อน “พล.อ.ประยุทะ์” แถมพูดกับพรรคเล็กเรื่องการ “ยุบสภา” ช่วงหลังประชุมเอเปค ปลายปี 2565 เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะรัฐบาลกำลังว่าง และจะมีเลือกตั้งต้นปี 2566 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในทางการเมือง เพราะออกมาจากปากระดับ “บิ๊กป้อม” แถมมีการเช็คแถว “พรรคเล็ก” ด้วยตัวเอง จะโหวตล้มนายกฯอีกหรือไม่

ประวิตร.jpeg

ทั้งนี้ “พล.อ.ประวิตร” ไม่ปฏิเสธที่พูดถึงการ “ยุบสภา” แต่ย้ำว่าเป็นความเห็นตนเอง ชี้อำนาจอยู่ที่ นายกฯ ส่วนกระแสข่าวการจ้องล้มนายกฯพล.อ.ประวิตร ยืนยันชัด “ไม่จริง ไม่มี ไม่มีหรอก” ทว่า “พล.อ.ประยุทธ์” กลับไม่รับลูกสิ่งที่ “พล.อ.ประวิตร” แถมพูดย้อนว่ามีเรื่องอื่นสำคัญกว่า

“เป็นเรื่องที่ พล.อ.ประวิตร ท่านเป็นคนพูดและท่านได้ชี้แจงให้ผมทราบแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องของนายกฯ ซึ่งพล.อ.ประวิตรพูดกับผมเมื่อสักครู่นี้”

“เป็นเรื่องของนายกฯที่จะตัดสินใจ นายกฯก็ต้องเก็บไว้ก่อนเป็นเรื่องของนายกฯจะมาบอกก่อนทำไม ทำไมต้องรีบบอก” นายกฯ กล่าว

“สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดทั้งหมด ผมอยากให้ทุกคนคำนึงถึงว่าวันนี้อะไรสำคัญกว่าอะไร ประเทศชาติมีปัญหาสำคัญ ประชาชนเดือดร้อนถือว่าสำคัญกว่าอย่างอื่นหรือไม่” นายกฯ กล่าว

ประยุทธ์ F8A5709DDA75.jpeg

ส่วนเรื่องที่ พล.อ.ประวิตร ถามตัวแทนพรรคเล็กมีแผนที่จะล้มนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในลักษณะท้าทายว่า “ก็ให้มาล้มเถอะไป ใครจะล้มก็ล้มไปเถอะ ผมไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ผมคิดว่าทุกคนมีวุฒิภาวะที่ดีเพียงพอ ผมให้เกียรติท่านทุกคน แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรกับใคร ผมถามหน่อย”

จึงเกิดคำถามที่ว่าเหตุใด “บิ๊กป้อม” ถึงชิงนัดพบพรรคเล็กก่อน รวมทั้ง “แย่งซีน” มาพูดเรื่องยุบสภา และเป็นที่น่าสังเกตว่าพรรคเล็กที่เข้าพบ “พล.อ.ประวิตร” ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ส่วนใหญ่จุดยืนเอนมาทาง “ผู้กองธรรมนัส” มากกว่าไปทาง “บิ๊กตู่”

ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ก็ขอให้ทุกคนไปร่วมงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 17มี.ค.ที่ผ่านมา โดยพรรคเล็กต่างตบเท้าไปอย่างพร้อมเพรียง ยกเว้น “สุรทิน พิจารณ์”หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ ที่ถูกหมายหัวแต่แรก จึงไม่ได้ไปร่วมงาน โดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจพอดี

จบท้ายด้วยการเปิดตัว “พรรคเศรษฐกิจไทย” โดยมี “บิ๊กน้อย”พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าพรรค สำหรับ พล.อ.วิชญ์ ได้ชื่อว่าเป็น “น้องรัก” สายตรงของ พล.อ.ประวิตร ถือเป็นการเปิดหน้าสู่สนามการเมืองเต็มตัว โดย พล.อ.วิชญ์ ที่มองว่า “เป็นเรื่องชะตาชีวิต ถึงเวลาก็ต้องทำให้ได้ เขาบอกให้มาทำก็ต้องมาทำ” ส่วนสัมพันธ์กับ พล.อ.ประวิตร ยังคงรักกันดี

“อยู่ตรงไหนก็ทำงานได้ และอยู่กับพี่ป้อมมาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว เขาคือพี่ชายผมแท้ๆ” พล.อ.วิชญ์ กล่าว

ธรรมนัส ธนพร เศรษฐกิจไทย

ส่วน ร.อ.ธรรมนัส ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรค “จุ๊บจิ๊บ-ธนพร ศรีวิราช”ภรรยา ร.อ.ธรรมนัส เป็นเหรัญญิก ส่วนตำแหน่งใน กก.บห. 22 ตำแหน่ง ล้วนเป็น “มุ้งผู้กอง” ทั้งสิ้น ที่ออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ทำให้ “พรรคเศรษฐกิจไทย” เป็นอิสระจาก “บิ๊กตู่” ตามที่เคยมีคำเตือนไปยัง “บิ๊กตู่” ก่อนหน้านี้ว่าระวังจะเป็น “ปล่อยเสือเข้าป่า”

ซึ่งท่าทีของ “บิ๊กน้อย-ผู้กองมนัส” ก็ไม่ประกาศชัดจะยืนข้าง “บิ๊กตู่” หรือรัฐบาล โดยเฉพาะ ร.อ.ธรรมนัส ที่เต็มไปด้วย “ไฟแค้น” ในการพูดถึงจุดยืน แถมกาหัวล่วงหน้าก่อน “ศึกซักฟอก” ไว้ด้วย โดยเฉพาะคำปรามาสจากรัฐมนตรีบางคนที่มองพรรคตนเป็น “อากาศ”

“มนุษย์เราวันหนึ่งขาดอากาศ ตายทันทีนะ มีใครอยู่ได้บ้างหากขาดอากาศ แต่ขอให้ระวังจะไม่รอด ผมบอกให้ ขนาดพืช สัตว์ขาดอากาศก็ตาย สื่อว่าชัดเจนไหมแบบนี้” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

แม้ว่า ร.อ.ธรรมนัส จะยอมรับว่าได้พบกับ นายกฯ หลายครั้งแล้วที่สภาฯ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม พร้อมประกาศชัดไม่ไปร่วมทานข้าวพรรคร่วมรัฐบาล ชนิดที่ว่า “ผีไม่เผา-เงาไม่เหยียบ” ส่วนท่าที พล.อ.วิชญ์ ก็ส่งสัญญาณกรายๆว่า “ไม่ทานอาหารเย็น” 

ดังนั้นท่าทีของ “พรรคเศรษฐกิจไทย” จึงเปรียบเป็น “รัฐอิสระ” หรือเป็น “กล้ามเนื้อนอกควบคุม” ของ “บิ๊กตู่”

แต่ทว่ากลับถูกมองว่าเป็น “ลมใต้ปีก” ของ “พล.อ.ประวิตร” แทน เพราะคนที่มาอยู่ “พรรคเศรษฐกิจไทย” ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังล้วนเป็น “มือทำงาน” ของ “พล.อ.ประวิตร” ทั้งสิ้น จึงถูกมองว่าเป็น “พลังประชารัฐ” สาขา 2 จึงเป็นอีก “ขุมกำลัง” ของ “พล.อ.ประวิตร” ที่สามารถใช้ต่อรองกับ “พล.อ.ประยุทธ์” ในอนาคต

ธรรมนัส วิชญ์ เศรษฐกิจไทย -F5A9-45C0-AE3B-A0CEE242D75F.jpeg

ความสัมพันธพี่น้อง “2ป.ประยุทธ์-ประวิตร” แม้จะเกิดภาพ “โชว์หวาน” ทั้งกอด ทั้งประคอง พูดย้ำนักหนาว่า “รักกัน”

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็น “เกมพยัคฆ์ซ่อนดาบ” ใส่กัน หลายชนวนเหตุในอดีต พอนานวันเข้าก็ “ปะทุ” ออกมาให้เห็น คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่าการดำรงอยู่ของ ร.อ.ธรรมนัส ใครกันที่ได้และใครที่เสีย หากตอบคำถามนี้ได้ ก็จะแกะปริศนาทั้งหมดออก

ย้อนกลับไป “ขบวนการล้มนายกฯ” ในศึกซักฟอกเมื่อเดือน ก.ย. 2564 ในครั้งนั้น “บิ๊กตู่” พูดประโยคหนึ่งว่าอาจมี “หลงหูหลงตา” อันนำมาสู่การที่ “บิ๊กตู่” ส่งคนของตัวเองเข้าไปใน พปชร. มากขึ้น

หนึ่งในนั้น คือ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษานายกฯ ไปนั่งที่ปรึกษาหัวหน้า พปชร. นั่นเอง รวมทั้งการผงาดขึ้นของ 6 รัฐมนตรี สาย “บิ๊กตู่” ที่ขณะนี้ขึ้นมาคุมพรรคเบ็ดเสร็จ รวมทั้งผลพวงจากจากการขับ ร.อ.ธรรมนัส กับ 21 ส.ส. พ้นพรรค

ยิ่งทำให้ “พล.อ.ประวิตร” ขาดขุมกำลังภายใน พปชร. ที่ถูกโยกไปยังพรรคเศรษฐกิจใหม่แทน จึงถูกมองว่าเป็น “หมากตัวหนึ่ง” ในการเดิมเกมวัดพลังระหว่าง “พี่น้อง 2ป.” ไปด้วย

ประยุทธ์ ประวิตร อนุพงษ์ 0BBFB802F68.jpegประยุทธ์ ประวิตร อนุทิน พรรคร่วมรัฐบาล E1A5BCD0.jpeg

ในส่วน “บิ๊กตู่” ก็ไม่เคยปฏิเสธมานั่ง “หัวหน้า พปชร.” ด้วยตัวเอง โดยให้เป็นเรื่องในอนาคต รวมทั้งการเกิดขึ้นของ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่ “แรมโบ้”เสกสกล อัตถาวงศ์ ไปตั้งเอาไว้ ก็ถูกมองว่าเป็น “พรรคสำรอง” ของ “พล.อ.ประยุทธ์” เฉกเช่นการเกิดขึ้นของ “พรรคเศรษฐกิจไทย” ที่ถูกมองว่าเป็น “ขุมกำลังใหม่” ของ “บิ๊กป้อม” นั่นเอง

ในส่วนของ “พีระพันธุ์” ก็ออกมาปฏิเสธข่าวลาออก พปชร. ไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ก็ไม่ “ปิดประตูตัวเอง” โดยระบุว่า “แล้วถ้าถึงเวลามีอะไรสื่อก็รู้เอง แต่ตอนนี้ไม่มี”

แต่ในเวลานี้ พปชร. ยังคงประคองตัวเองไปได้ หลัง “มุ้งธรรมนัส” ยกขบวนออกไป

รวมทั้งการเข้ามาของ “เสี่ยโต-อภิชัย เตชะอุบล” ที่ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) มาซบ พปชร. จากตอนแรกมีชื่อจะไปเป็น “เลขาธิการ” พรรคเศรษฐกิจไทย โดย “เสี่ยโต” ถูกมองว่าเป็น “นายทุน” ของ พปชร. แถมขึ้นแท่นได้คุมพื้นที่ กทม. ให้ พปชร. ด้วย

ท่ามกลางศึกสายเลือด จปร. ที่ยังไม่เห็นตอนจบ ที่ต่างฝ่ายต่างชิงไหวชิงพริบ เป็นเกมแบบ “ทีใครทีมัน” ซึ่งในอดีตเองศึกสายเลือด จปร. นำมาสู่เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่

ในครั้งนี้ รอยร้าวระหว่าง “พี่น้อง 2ป.” ที่นับวันยิ่งมี “ระยะห่าง” มากขึ้น แม้จะแสดงภาพกลมเกลียวก็ตาม สุดท้ายแล้วก็กลับไปที่คำว่า “อำนาจไม่เข้าใครออกใคร” จากชนวนเหตุ “ริบอำนาจ” ในอำนาจ ที่ส่งผลต่อ “ขบวนแถว” ข้างหลัง กลายเป็น “โดมิโน่” ที่ยังไม่เห็นปลายทาง

เกมเสือซ่อนดาบ เหตุปล่อยเสือเข้าป่า !!