ไม่พบผลการค้นหา
‘นิกร จำนง’ ชี้ MOA (ภท.-ปชน.) ดันให้มี สสร. มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ไม่สามารถทำได้ เหตุขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่ร่าง รธน.ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ที่ยังค้างในวาระการประชุมต้องถอนออก เพราะต้องทำประชามติถามความเห็นประชาชนก่อน

นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้ความเห็นต่อข่าววิทยุรัฐสภา กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องกรณีประธานรัฐสภา ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ว่าต้องทำประชามติ จำนวน 3 ครั้ง โดยจำเป็นจะต้องดำเนินการสอบถามประชามติประชาชนเป็นครั้งแรกเสียก่อน ว่าจะให้แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่ รวมทั้งการที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

นายนิกร ยังกล่าวในฐานะอดีตประธานอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ขอเสนอให้มีความระมัดระวังในการตั้งคำถามให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 ที่บัญญัติว่า  "ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดอันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ" โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องมีมติให้ออกเสียงประชามติ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 ดังนั้น หาก ครม. ตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง ลงไปในคำถามประชามติด้วย ตามข้อตกลง MOA ข้อ 2 ของการจัดตั้ง ครม. ชุดนี้ จะไม่สามารถกระทำได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มี สสร. บัญญัติไว้ และที่สำคัญคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ชี้ชัดต่อบทบัญญัติหมวด 15 ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ซึ่งกรณีนี้ตนเห็นว่าอาจจะมี สสร.ได้ แต่ต้องมีการเลือกตั้งโดยอ้อมเหมือนการจัดทำรัฐธรรมนูญ ปี 2540 โดยให้ประชาชนเลือกมาจำนวนหนึ่งก่อน แล้วรัฐสภามาคัดเลือกภายหลังอีกครั้ง แต่ต้องไปกำหนดรายละเอียดและตั้งคำถามในช่วงที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และหมวด 15 ซึ่งจะเป็นการทำประชามติเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งสามารถดำเนินการได้ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ หาก ครม. หรือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังฝืนที่จะตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับใหม่ โดยให้มี สสร. ลงไปในคำถามด้วย อาจถูกร้องว่าเป็นการกระทำที่มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้

นอกจากนี้ นายนิกร กล่าวด้วยว่า การตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่ยกเว้นการแก้ไขหมวด 1 บททั่วไปเกี่ยวกับรูปแบบรัฐ และระบอบการปกครอง และหมวด 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ นั้น จะนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นได้ เนื่องจากการศึกษาเรื่องปัญหาของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 สรุปว่า 2 หมวดนี้ไม่มีปัญหาใดที่ควรแก้ไข ดังนั้น การตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรยกเว้นการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้ไม่ได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับใหม่ ที่พึงประสงค์ซึ่งตั้งใจกันมานาน

นายนิกร ชี้ว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ยังไม่ได้ประกาศใช้ เนื่องจากอยู่ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ ระหว่างนี้จึงควรประสานกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการเตรียมความพร้อมออกกฎหมายลำดับรอง เช่น กฎ ระเบียบ และประกาศต่าง ๆ เมื่อกฎหมายหลักมีผลใช้บังคับก็จะสามารถดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ครม. ชุดใหม่ ต้องเตรียมพร้อมจัดสรรงบประมาณ เพื่อใช้ในการออกเสียงประชามติ ทั้งนี้ เพื่อจะไม่มีปัญหาและอุปสรรค ตลอดจนสภาวะข้อขัดข้องใด ๆ เกิดขึ้นอีก เนื่องจากเวลาในการจัดทำประชามติเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีอยู่น้อยมาก

ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 จำนวน 3 ร่าง ที่ค้างอยู่ในวาระของการประชุมรัฐสภา จำเป็นต้องถอนออก ไม่สามารถพิจารณาต่อได้ เนื่องจากไม่ได้ทำประชามติถามประชาชนก่อน และในเนื้อหาของมาตราก็บัญญัติให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ซึ่งทั้งสองประเด็นขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ