วันนี้ (9 ตุลาคม 2568) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุผ่านสื่อโซเชียลมีเดียว่า การทำประชามติเรื่อง MOU 43-44 (บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา) เป็นความพยายามที่จะสร้างความชอบธรรมทางการเมือง โดยผลักภาระไปให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ทั้งๆ ที่รัฐบาลสามารถตัดสินใจเองได้ เพราะเป็นเรื่องนโยบายการบริหารประเทศ หากรัฐบาลเห็นว่า MOUs ไม่สร้างประโยชน์ใดๆ ให้กับประเทศชาติ และประชาชน รัฐบาลก็สามารถตัดสินใจยกเลิกไปได้เลย แต่ต้องไม่ลืมว่าการเจรจาจัดทำ MOU43-44 กับกัมพูชาเป็นผลมาจากการพิจารณาร่วมกันของหน่วยราชการหลายหน่วย อาทิ กะทรวงกลาโหม, กองทัพ, กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงมหาดไทย, หน่วยงานความมั่นคง ซึ่งใช้เวลาในการพิจารณาร่วมกันมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี และผ่านการหารือกันอย่างละเอียด ถี่ถ้วนรอบคอบ กว่าจะตกผลึกออกมาเป็นความตกลงทั้ง 2 ฉบับ ดังกล่าว และที่ผ่านมาหน่วยราชการทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องก็ได้ใช้ประโยชน์จากความตกลง MOUs ทั้ง 2 ฉบับเป็นกรอบในการเจรจาเขตแดนกับกัมพูชาอย่างเต็มที่ มีความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดน และการวางแนวทางเพื่อการสำรวจ (delimitation) และการปักปันเขตแดน (demacation) ร่วมกันได้อย่างดี ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ก้าวหน้า และหากยกเลิกไปแล้ว และต้องเริ่มการเจรจาปักปันเขตแดนกับกัมพูชาขึ้นใหม่ แต่ไม่สามารถสร้างความได้เปรียบเหนือกัมพูชาเหมือนในอดีตที่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องฯ ทำได้ รัฐบาลก็จะต้องรับผิดชอบครับ
MOU43-44 เป็นเพียงการวางกรอบของการเจรจาเขตแดนให้กับคณะกรรมการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission - JBC) ใช้เป็นแนวทางเท่านั้น ไม่ได้มีการตกลงเรื่องเขตแดนใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อ JBC เจรจากันตามกรอบที่ MOU43-44 กำหนด จนได้ผลอย่างใดแล้ว ก็ต้องนำผลการเจรจานั้นเข้าสู่การพิจารณาให้ความเห็นชอบจากรัฐสภา จะเห็นได้ว่า MOU43-44 ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติสูญเสียอำนาจอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนใดๆ ทั้งสิ้น
ที่สำคัญ เมื่อรัฐบาลตั้งธงที่จะยกเลิก MOU43-44 โดยอาศัยประชามติของประชาชน หลายคนมีความกังวลว่า ประชาชนอาจไม่มีความรู้ในเรื่องดังกล่าวอย่างเพียงพอ ผลการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความเข้าใจ MOU43-44 นิด้าโพลเปิดเผยผลการสำรวจว่า ประชาชนไม่เข้าใจเลย 44.12 % • ไม่ค่อยเข้าใจ 24.96 % • ค่อนข้างเข้าใจ 23.13 % • เข้าใจมาก 7.79 % เมื่อประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนประชามติไม่เข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ อาจตัดสินใจด้วยอารมณ์หรือข้อมูลไม่ครบ แตกต่างจากหน่วยราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาจัดทำ MOU43-44 ซึ่งต้องทำการศึกษาผลดี-ผลเสียของ MOUs ทั้ง 2 ฉบับมาอย่างดี
ดังนั้น ประชามติจึงอาจเป็นเพียง “เครื่องมือทางการเมือง” มากกว่าวิธีแก้ปัญหา ในท้ายที่สุดอาจบิดเบือนข้อมูล ไม่สามารถลดความขัดแย้งได้อย่างที่คาดหวัง ทำให้การตัดสินใจไม่ได้อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจไม่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง
ถ้าผลประชามติคือยกเลิก MOU แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมรับหรือไม่ให้ความร่วมมือ อาจต้องเผชิญข้อพิพาทระหว่างประเทศ ซึ่งต้องแก้ด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช่แค่ใช้เสียงประชาชน
ฐานะของ MOU ตามกฎหมายระหว่างประเทศถือเป็นสนธิสัญญา และมีพันธกรณีทางการเมือง (Political Commitment) หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดโดยพลการ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ทางการทูต
การยกเลิกหรือแก้ไข MOU ตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 มาตรา 54–56: การยกเลิกข้อตกลงระหว่างประเทศจะทำได้เมื่อ คู่ภาคีเห็นชอบครับ