พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายนิยม เติมศรีสุข ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม, พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และหน่วยงานความมั่นคง ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ "ตัดไฟแต่ต้นลม" ครั้งที่ 4 วันนี้ (18 มิ.ย.2568) โดยพุ่งเป้าไปที่การยึดทรัพย์สินของผู้ต้องหาตามหมายจับและเครือญาติรวม 8 ราย ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย 3 จุด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดและอายัดทรัพย์สินได้แก่
- ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 2 แห่ง
- รถยนต์ 1 คัน
- รถจักรยานยนต์ 1 คัน
- เงินฝากในบัญชีธนาคาร 625,000 บาท
รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 3.6 ล้านบาท
นอกจากนี้ ป.ป.ส. เตรียมออกหนังสือเรียกบุคคลที่มีเส้นทางการเงินต้องสงสัยอีก 12 ราย เข้ามาชี้แจงข้อมูลธุรกรรมการเงิน หากไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเครือข่ายนี้มีทรัพย์สินต้องสงสัยรวมมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท
[เปิดโปงเครือข่าย "อาฉ่าง" หรือ "เสี่ยม้าบิน" ผู้บงการค้ายาเสพติดข้ามชาติ]
ปฏิบัติการในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากการจับกุมผู้ต้องหา 8 ราย พร้อมยาบ้ากว่า 3 ล้านเม็ด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 โดยยาเสพติดดังกล่าวเป็นของ นายธัชพล ตระกูลมั่งมีดี หรือที่รู้จักกันในนาม "อาฉ่าง" หรือ "เสี่ยม้าบิน" ซึ่งเป็นผู้บงการให้บุคคลในเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก สหภาพเมียนมา เข้าสู่พื้นที่ชายแดนไทยด้านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ก่อนส่งต่อไปยังพื้นที่ตอนในของไทยเพื่อจำหน่ายในประเทศ หรือส่งต่อไปยังประเทศที่สาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธัชพล มีบทบาทสำคัญในการจัดหายาเสพติด (ยาบ้า, ไอซ์) โดยมีศักยภาพเข้าถึงกลุ่มผู้ผลิตในเมียนมา รวมถึงจัดหาทีมลำเลียงยาเสพติดจากเมียนมา และยังเป็นผู้มีอิทธิพลในฝั่งเมียนมา คอยอำนวยความสะดวก จัดหาที่พักอาศัย และดูแลความปลอดภัยให้กับเครือข่ายยาเสพติด รวมถึงกลุ่มคนไทยที่หลบหนีหมายจับคดียาเสพติด
จากรายงานล่าสุด ปัจจุบัน นายธัชพล พักอาศัยอยู่ในเมียนมา และมีกิจการหลายประเภทในจังหวัดท่าขี้เหล็กและจังหวัดเชียงตุง เช่น ร้านทอง, รับเหมาก่อสร้าง, อินเทอร์เน็ต, สถานบันเทิง (คาราโอเกะ ผับ), โรงแรม, ขนส่ง และจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 1,000 ล้านบาท
[ยกระดับความร่วมมือไทย-เมียนมา ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ]
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่าปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมา ในการปราบปรามยาเสพติด เนื่องจากปัญหาการค้ายาเสพติดในลักษณะเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค การบูรณาการข่าวกรองระหว่างหน่วยงานภายในประเทศและระหว่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง การประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดจะนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ในการสืบสวนขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เป็นรูปธรรม
สำหรับเครือข่ายที่ปฏิบัติการในวันนี้ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ บุคคลเป้าหมายหลักที่ถูกออกหมายจับมีพฤติการณ์ในระดับผู้สั่งการ มีศักยภาพในการจัดหายาเสพติดไปกระจายในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงนำเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดมาแปลงเป็นทรัพย์สิน และลงทุนในธุรกิจต่างๆ ทั้งในไทยและเมียนมา ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท
[เดินหน้าขยายผล ต่อยอดปฏิบัติการ "ตัดไฟแต่ต้นลม"]
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ได้มอบหมายให้ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมคณะ เดินทางไปเมียนมา เพื่อพบกับ พลตำรวจโท วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจเมียนมาและเลขาธิการ CCDAC และ พลตำรวจจัตวา ต่าน ลวิน หม่อง เลขาธิการร่วมสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อหารือเกี่ยวกับเครือข่ายดังกล่าว โดยจะขอความร่วมมือจากเมียนมาให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลตามหมายจับ และยึดอายัดทรัพย์สินในเมียนมาต่อไป
ป.ป.ส. และหน่วยงานภาคีให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติดในทุกระดับการค้า ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการจับกุมกวาดล้างยาเสพติด ตัดวงจรการค้ายาเสพติดรายสำคัญให้ถึงระดับผู้สั่งการ โดยเฉพาะผู้สั่งการที่มีศักยภาพในการจัดหายาเสพติดจากต้นทางประเทศเพื่อนบ้าน และใช้เครือข่ายผู้ลำเลียงชาวไทย รวมถึงใช้บุคคลชาวไทยถือครองทรัพย์สินแทน ยิ่งต้องเร่งดำเนินการ "ตัดไฟแต่ต้นลม" เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด
ตั้งแต่กลางปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี เปิดปฏิบัติการ "ตัดไฟแต่ต้นลม" มาแล้วรวม 4 ครั้ง:
* ครั้งที่ 1: จับกุมบุคคลตามหมายจับ 4 ราย ตรวจยึดทรัพย์สิน 66 ล้านบาท
* ครั้งที่ 2: จับกุมบุคคลตามหมายจับ 3 ราย ตรวจยึดทรัพย์สิน 101 ล้านบาท
* ครั้งที่ 3: จับกุมบุคคลตามหมายจับ 1 ราย ตรวจยึดทรัพย์สิน 80 ล้านบาท
* ครั้งที่ 4 (ล่าสุด): ยึดอายัดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 3.6 ล้านบาท และตรวจสอบทรัพย์สินของเครือข่ายธุรกรรมการเงินต้องสงสัยมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท
ปฏิบัติการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง และตัดเส้นทางการเงินของขบวนการค้ายาเสพติดให้สิ้นซาก