โคคา-โคล่า ผู้ผลิตเครื่องดื่มอัดลมยี่ห้อดังของโลก เตรียมเปิดตัวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 131 ปีของบริษัท โดยจะวางขายในญี่ปุ่นเพียงแห่งเดียว และยังไม่มีแผนการวางจำหน่ายในประเทศอื่น โดยเครื่องดื่มดังกล่าวคือ "ชู-ไฮ" ซึ่งย่อมาจากคำว่า "โชชู" ซึ่งเป็นเหล้าขาวท้องถิ่นของญี่ปุ่น กับคำว่า "ไฮบอล" ซึ่งเป็นชื่อเรียกเครื่องดื่มที่ทำจากเหล้าผสมน้ำอัดลมชนิดต่างๆ และมีปริมาณแอลกอฮอล์ตั���งแต่ 3-8% 

ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้เป็นความพยายามของโคคา-โคล่า ในการจับกระแสความนิยมในเครื่องดื่มชู-ไฮ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในญี่ปุ่นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยชู-ไฮ วางขายทั่วไปในร้านสะดวกซื้อ มีหลายรสชาติและราคาไม่แพง รวมถึงไม่ได้มีปริมาณแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้ดื่มง่าย เป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้หญิงญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยว รวมถึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ไม่ชอบดื่มเบียร์

นายฆอร์เฆ การ์ดูนโย ประธานโคคา-โคล่าญี่ปุ่น ยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่บริษัททดลองออกผลิตภัณฑ์ประเภทแอลกอฮอล์ต่ำ ซึ่งโคคา-โคล่ายังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่ก็ถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าบริษัทพร้อมที่จะก้าวออกไปแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่ๆ แม้เขาจะยืนยันว่าจะยังไม่มีแผนขายชู-ไฮ ในต่างประเทศ เนื่องจากมองว่าตลาดญี่ปุ่นมีศักยภาพเพียงพอ และมีความเป็นเอกลักษณ์สูง

นักวิเคราะห์ด้านการตลาดมองว่าการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นทางรอดของโคคา-โคล่า เนื่องจากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ยอดขายเครื่องดื่มอัดลมตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องจากกระแสที่คนหันมาใส่ใจสุขภาพ และรับรู้พิษภัยของเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงมากขึ้น โดยข้อมูลจากยูโรมอนิเตอร์ บริษัทวิจัยด้านการตลาดระดับโลก พบว่าในช่วงปี 2012-2017 ยอดขายเครื่องดื่มประเภทโคล่าตกต่ำลงถึง 3.1% โดยเฉพาะในสหรัฐฯและบราซิล ยอดขายลดลงเกิน 10% และโคคา-โคล่า ก็เป็นผู้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในโลกมากถึง 56.5% ทำให้โคคา-โคล่าต้องออกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมาทดแทนยอดขายที่สูญเสียไป ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เช่นชาเย็น Fuzetea, กาแฟเย็นพร้อมดื่ม Honest Coffee และสมูทตี้เพื่อสุขภาพ AdeZ 

ส่วนในอังกฤษ แม้ว่ากำลังจะมีการบังคับใช้ภาษีน้ำตาลในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ ซึ่งจะกระทบกับยอดขายเครื่องดื่มอัดลมอย่างแน่นอน แต่โคคา-โคล่าก็ยืนยันว่าจะไม่ปรับสูตรโดยลดน้ำตาลในโค้กลง เพราะลูกค้าติดใจในรสชาติดั้งเดิมนี้แล้ว แต่จะใช้วิธีปรับขนาดขวดให้เล็กลงและขายราคาแพงขึ้นเพื่อรับมือกับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นแทน