นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายระหว่างการแถลงนโยบาย ในฐานะฝ่ายค้านระบุว่า การได้รัฐบาลจาก MOA (Memorandum of Agreement) เป็นที่มาของปัญหาใหญ่ในอนาคต ทั้งในด้านความรับผิดชอบ การตรวจสอบถ่วงดุล และการได้มาซึ่งนโยบายหรือรัฐมนตรี ซึ่งไม่ผ่านการพิจารณาร่วมกัน
“รัฐบาลจาก MOA แบบนี้จะนำไปสู่ปัญหา มีทั้งความรับผิดชอบ ปัญหาการตรวจสอบถ่วงดุล หรือแม้แต่ว่าจะได้รัฐมนตรีหรือนโยบายมาอย่างไรก็ไม่รู้ ผู้ที่ไปทำ MOA ก็ไม่ได้ไปร่วมพิจารณาด้วย” ทั้งยังเตือนว่า MOA อาจทำให้เกิดการแทรกแซงองค์กรอิสระ ครอบงำระบบการเมือง และสุดท้ายอาจไม่สามารถนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้จริง หากไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง
● นโยบายสับสน ไม่เข้าใจโจทย์เร่งด่วน
นายจาตุรนต์ ชี้ว่าการอภิปรายสองวันที่ผ่านมา เหมือนต่อจิ๊กซอว์แต่ไม่สำเร็จ เพราะต่างคนต่างวางชิ้นส่วน ไม่ได้เห็นภาพใหญ่ชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายที่สะท้อนว่ารัฐบาลนี้ไม่เข้าใจปัญหาเร่งด่วนของประเทศ
ทั้งยังย้ำว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับภาวะโตต่ำไม่ถึง 2% ต่อเนื่อง เกษตรกรอยู่ในสภาพตกต่ำ ต้องเผชิญปัญหาภาษีการค้าโลก เช่น ภาษีทรัมป์ และที่สำคัญคือรัฐบาลไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์ว่าประเทศไทยควรวางตำแหน่งตนเองตรงไหนในการแข่งขันโลก
“รัฐบาลนี้ถ้าดูจากนโยบายแล้วไม่เข้าใจโจทย์เร่งด่วนสำคัญของประเทศ… ที่สำคัญคือไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์ว่าประเทศไทยต้องอยู่ตรงไหนในการค้าโลก”
● ประกาศนโยบาย 4 ปี แต่มีเวลาเพียง 4 เดือน
นายจาตุรนต์ มองว่านโยบายหลายข้อที่รัฐบาลแถลงไม่มีทางทำได้ในเวลา 4 เดือน แต่กลับเขียนไว้ในเชิงเน้นย้ำ เช่น กฎหมายเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม การปรับปรุงธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และการปฏิรูปกฎหมายการศึกษา ซึ่งทั้งหมดต้องใช้เวลานานและผ่านกระบวนการทางรัฐสภาที่ซับซ้อน
พร้อมยังตั้งคำถามอีกว่า รัฐมนตรีเข้าใจหรือไม่ว่าการออกกฎหมายแต่ละฉบับต้องใช้เวลาเท่าใด และยังมีคิวกฎหมายที่ค้างอยู่จำนวนมาก การประกาศเช่นนี้สะท้อนถึงความไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริง
“นโยบายเหล่านั้นเหมาะสำหรับทำ 4 ปี แต่ท่านมาพูดในบริบทที่รัฐบาลนี้อยู่ใน 4 เดือน…ท่านเข้าใจหรือไม่ว่าการออกกฎหมายแต่ละฉบับใช้เวลาเท่าไหร่ และมีอยู่ในคิวเท่าไหร่”
สิ่งเดียวที่อาจเห็นผลจริงในระยะสั้นคือโครงการ “คนละครึ่ง” แต่นอกนั้นยังขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จับต้องได้
● ประชามติ MOU ไทย–กัมพูชา เสี่ยงสูง อันตราย
อีกประเด็นที่ถูกตั้งคำถามคือ การทำประชามติ MOU ไทย-กัมพูชา ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งจาตุรนต์มองว่า เป็นเรื่องล่อแหลมและเสี่ยงต่อความเสียหาย เพราะประชาชนยังไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วนและยังคงมีอารมณ์โกรธแค้นอยู่
ทั้งยังยกตัวอย่างว่า ที่ผ่านมาเรื่อง MOU ต้องประชุมลับในสภาเพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไปถึงฝ่ายกัมพูชา แต่รัฐบาลกลับประกาศว่าจะทำประชามติในเวลาสั้นๆ โดยไม่มีใครศึกษาอย่างจริงจัง
“ต่อไปนี้จะทำประชามติในบรรยากาศที่ประชาชนยังมีความรู้สึกโกรธแค้น ไม่พอใจ แล้วไม่มีใครศึกษาอย่างจริงจัง เสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายอย่างมาก”
● ระบบรัฐสภารวน รัฐบาลขาดความน่าเชื่อถือ
ท้ายที่สุด จาตุรนต์กล่าวว่า ระบบรัฐสภากำลังเผชิญปัญหาความไม่เป็นระบบ รัฐบาลที่ได้มาโดยอาศัยช่องว่างจากพรรคที่สนับสนุน แต่ไม่เข้าร่วม ครม. นำไปสู่การแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ “มีบาดแผลเต็มไปหมด ไม่มีความน่าเชื่อถือ” และยังไม่มีระบบตรวจสอบที่น่าไว้วางใจ
“บ้านเมืองจะเดินไปอย่างนี้ได้อย่างไร… เราห่วงว่าประเทศนี้จะไม่เพียงแต่ไม่เดินไปสู่ประชาธิปไตย แต่จะเดินไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวง หายนะทั้งปวง” พร้อมย้ำว่า สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคืออนาคตของประเทศ หากรัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายเช่นนี้