ไม่พบผลการค้นหา
ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ และภรรยากำนันทองม้วน คำแจ่ม หนึ่งในสี่คนที่ถูกลอบสังหาร บุกยื่นหนังสือทวงความยุติธรรมให้กับสามี ผ่านสภ.สุวรรณคูหา เพื่อเรียกร้อง ผบ.ตร. หาผู้กระทำความผิดมาลงโทษและยุติการลอยนวลพ้นผิด

ที่สถานีตำรวจภูธรสุวรรณคูหา อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู สอน คำแจ่ม ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันได พร้อมทั้งสมาชิกกลุ่มฯ และ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ หัวหน้าพรรคสามัญชน ในฐานะที่ปรึกษากลุ่ม และตัวแทนจากองค์กร Protection International ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท. ปรีดา สุดชา รองผู้กำกับ สภ.สุวรรณคูหา เพื่อยื่นหนังสือผ่าน สภ.สุวรรณคูหา ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อทวงความยุติธรรมกรณีการสังหาร กำนันทองม้วน คำแจ่ม และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันได และขอให้มีมาตรการคุ้มครองความปลอดภัย และป้องกันการคุกคาม ที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มฯ

สอน กล่าวว่า เข้ามายื่นหนังสือทวงถามความยุติธรรมในวันนี้ ในฐานะภรรยาของนายทองม้วน คำแจ่ม ที่ถูกลอบสังหารไปเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2542 พร้อมกับ สม หรือ ธง หอมพรมมา ซึ่งเชื่อว่า การตายของทั้งสองคน น่าจะมาจากการต่อต้านโรงโม่หินในตำบลดงมะไฟ ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ได้พยายามติดตามและเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ ทองม้วน มาตลอด ด้วยความเจ็บปวดจากการสูญเสีย แต่การสังหาร กำนันทองม้วน และนักปกป้องสิทธิอีกสามคนที่ผ่านมา ได้สร้างความหวาดกลัว และทำให้ขาดความมั่นใจในการทวงถามความยุติธรรมกับตำรวจ แต่ตอนนี้ได้เข้าร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในการปิดเหมืองหินและโรงโม่ เพื่อฟื้นฟูภูผาป่าไม้ และพัฒนาดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทำให้มีพลังในการกลับมาทวงถามความยุติธรรมให้กับสามีที่ถูกสังหารไป

สอน กล่าวว่า ที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมในการค้นหาผู้กระทำผิดได้ยุติลงจากการที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสุวรรณคูหา และพนักการอัยการจังหวัดหนองบัวลำภู มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ในฐานะภรรยาและครอบครัว ยังมีความประสงค์ที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับนายทองม้วน เพื่อที่จะหาผู้กระทำความผิดมาลงโทษและยุติการลอยนวลพ้นผิด ซึ่งหลังจากที่ได้อ่านสำเนารายงานการสอบสวนคดีแล้วมีประเด็นที่สงสัยในกระบวนการสอบสวนดังต่อไปนี้

1.บันทึกการให้ปากคำของตนทีตำรวจส่งให้ดู ไม่ตรงกับการให้ปากคำในครั้งนั้นต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งหากพนักงานสอบสวนได้บันทึกรายละเอียดตามที่ตนให้ไป อาจจะนำไปสู่การสอบพยานหลักฐานที่สำคัญ เพื่อติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ แต่บันทึกปากคำของตนไม่ตรงที่ให้ปากคำไป ซึ่งตกหล่นไปจากเอกสารดังกล่าว นอกจากนี้ หลังจากที่ได้บันทึกการให้ปากคำเสร็จ เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการอ่านทวนการให้ปากคำของตน จึงทำให้ไม่ทราบรายละเอียดในการบันทึกก่อนที่จะเซ็นชื่อเพื่อรับรองการให้ปากคำดังกล่าว

2.การลอบสังหาร ทองม้วน เป็นการตายโดยผิดธรรมชาติ ซึ่งในทางกฎหมาย ต้องมีการชันสูตรพลิกศพเพราะเป็นการทำให้ตาย โดยในรายงานการสอบสวนของสภ.สุวรรณคูหา ระบุว่า มีการใบรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ แต่ในข้อเท็จจริงคือ เราไม่เคยเห็นใบรายงานดังกล่าว จึงทำให้เกิดความกังขาว่า ได้มีการชันสูตรพลิกศพจริงหรือไม่ เพราะมีความสำคัญต่อรูปคดี ที่จะหาคนผิดมาลงโทษ

3.เมื่อ วฤทธิ์ หรือ อ่อน วิเป ผู้ต้องหา ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2542 พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันกับพวกหรือใช้ จ้างวาน หรือสนับสนุน ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยไต่ตรองไว้ก่อน , มีและใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนมิออกใบอนุญาตให้ได้โดยผิดกฎหมาย พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร” และในวันเดียวกันผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยมีหลักประกัน โดยขณะนั้นในระหว่างการสอบสวน พนักงานสอบสวนได้มีการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนของกลาง และเปรียบเทียบวัตถุของกลางเป็นอาวุธปืนชนิดเดียวกันที่อยู่บริเวณศพของนายทองม้วน คำแจ่มตรงสถานที่เกิดเหตุหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ก็มีความสำคัญต่อรูปคดีด้วย

4.นอกจากนี้ ตามสำเนารายงานการสอบสวนของคดีนี้ อยากขอให้ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรสุวรรณคูหาสั่งการให้ผู้ที่รับผิดชอบตรวจดูและรวบรวมบันทึกการสอบปากคำฉบับเต็มจำนวน 57 ปาก เปิดเผยให้กับตนได้รับทราบ ตามสำเนาการรายงานสอบสวนคดีด้วย

5.ยังมีความสงสัย ในการสอบพยานจำนวน 57 ปากนั้น มีพยานหมายเลข 46-52 เป็นพยานที่ อวยชัย วะทา นำเข้ามาเป็นพยานในคดีดังกล่าว แต่ทำไมพนักงานสอบสวน ไม่เรียกนายอวยชัยมาสอบปากคำด้วย

ดังนั้นจึงมีข้อเรียกร้องให้เกิดความยุติธรรมในคดีของกำนันทองม้วน และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันไดที่ถูกสังหารไปเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ดังนั้น

ขอใบชันสูตรพลิกศพของ ทองม้วน และใบตรวจอาวุธปืน และลูกกระสุนปืนว่าเป็นชนิดเดียวกันกับที่มีการลอบสังหารกำนันทองม้วน หรือไม่ เพราะตามรายงานความคืบหน้า ไม่ได้มีการระบุในประเด็นนี้ไว้ และขอให้ผบ.ตร. มีคำสั่งให้มีการเปิดเผยการสอบปากคำของพยานทั้ง 57 คนแบบที่มีการให้ปากคำเป็นรายบุคคล พร้อมการลงลายมือชื่อรับรองแต่ละฉบับ เนื่องจากที่มีนั้น เป็นการสรุปมาเพียงบางส่วนเท่านั้น และที่สำคัญ ตนอยากขอเน้นย้ำ ให้ ผบ.ตร. มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หามาตรการในการรักษาความปลอดภัย ให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนสมาชิกกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเหล่าใหญ่-ผาจันได , เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ที่ถูกข่มขู่ว่า ว่าจะมีการลอบสังหารแกนนำที่เป็น NGO  ซึ่ง เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวันสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยในวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา รวมทั้งองค์กรที่เข้ามาสนับสนุนกระบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเพื่อปกป้องและเรียกร้องสิทธิในการรักษาทรัพยากรไว้ให้คนรุ่นหลังและรักษาพื้นที่ความมั่นคงทางด้านอาหารต่อไปในอนาคต

สอน กล่าวว่า คดีนี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 อาจขาดอายุความ แต่ที่มาครั้งนี้ก็เพื่อทวงความยุติธรรมที่ไม่เคยได้รับและตอกย้ำให้ท่านดำเนินการเร่งรัดคลายข้อสงสัยหรือเปิดเผยเอกสารที่เป็นข้อสงสัยในความบกพร่องของตำรวจและเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับดิฉันและครอบครัวในการที่จะทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเรียกร้องความยุติธรรมเพื่อหาผู้กระทำผิดมาลงโทษในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการทวงคืนความยุติธรรมแล้ว ยังเป็นการป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดย่ามใจว่าการกระทำความผิดเป็นการกระทำโดยชอบและสามารถที่จะกระทำได้อีกด้วย

ขณะที่ พ.ต.ท.ปรีดา สุดชา รองผู้กำกับ สภ.สุวรรณคูหา ตัวแทนรับหนังสือกับ สอน ในครั้งนี้กล่าวว่า ต้องเรียนตามตรงว่าวันนี้สิ่งที่ตนจะทำได้มีเพียง สองอย่างคือ 1. รับหนังสือร้องเรียนซึ่งประเด็นปลีกย่อยต่างๆ ได้ฟังจาก สอน สรุปให้ฟังแล้วและเข้าใจทุกอย่าง แต่ต้องนำกราบเรียนผู้บังคับบัญชาชั้นสูง เพราะต้องนำส่งถึง ผบ.ตร. ซึ่งก็แล้วแต่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงจะมีคำสั่งการว่า จะให้ทำอย่างไรจะให้มีการรื้อคดีหรือไม่เพราะมันเป็นรายละเอียดปลีกย่อยในทางกฎหมาย ไม่ขอกล่าวตรงนี้แต่จะให้ความเป็นธรรมเต็มที่

ในส่วนประเด็นที่ 2.จากการที่ สอน และกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ ผาจันได ได้เข้าร่วมปักปลักปิดเหมืองหน้าทางเข้าเหมืองหิน สภ.สุวรรณคูหา ไม่ได้นิ่งนอนใจได้จัดสายตรวจไปทุกวันวันละหลายผลัดหลายครั้ง ฝนตกก็ไป เพื่อให้ความปลอดภัยกับประชาชนเต็มที่เท่าที่จะทำได้ ซึ่งหลังจากที่รับหนังสือแล้ว ตำรวจจากสภ.สุวรรณคูหา จะรักษาความปลอดภัยให้กับกลุ่มให้ได้รับความปลอดภัยตามอำนาจหน้าที่ของตำรวจอย่างเต็มที่และหากประชาชนไม่ได้รับความปลอดภัยหรือถูกคุกคาม หรือมีเบาะแสในเรื่องไหนก็สามารถแจ้งตำรวจได้เลยทันที

“ส่วนกรณีความคืบหน้าเรื่องความปลอดภัยของ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ หัวหน้าพรรคสามัญชนและที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ที่ถูกขู่ฆ่า จนได้เดินทางเข้าลงบันทึกประจำวันที่สภ.สุวรรณคูหาเมื่อหลายวันก่อนที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจได้จัดหาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงไปดูแลชาวบ้านและนายเลิศศักดิ์ในพื้นที่อย่างเต็มที่ ซึ่งหลังจากนี้เราจะนำเรื่องนำเรียนผู้กำกับและจะทำหนังสือตอบชาวบ้านอย่างเป็นทางการไปอีกครั้ง” รองผู้กำกับสภ.สุวรรณกล่าว

ด้าน เลิศศักดิ์ กล่าวว่า ความน่าสงสัยของคดีนี้คือเอกสารที่ตำรวจได้ส่งให้กับแม่ขวัญและผู้เสียหายคนอื่นๆ เห็นได้ชัดเจนว่าอาจมีการทำสำนวนสอบสวนเพื่อต้องการที่จะให้ผู้ต้องหาหลุดคดี เราได้ย้อนไปสอบถามพยานหลายปากปรากฎว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาถูกบันทึกไว้แบบนี้ ทั้งที่เขาพูดอีกแบบหนึ่ง เช่นเขาสามารถพูดไปถึงว่าเขาเห็นศพนอนในท่าไหนอย่างไร เห็นการเอามือบังหน้า เห็นเศษชิ้นส่วนอะไรบางอย่างจากลูกกระสุนที่กระทบใบหน้าของผู้เสียชีวิต แต่เรื่องนี้ไม่ถูกบันทึกไว้ในสำนวนสอบสวน และพยานหลายปากให้การยาวกว่าที่ได้ระบุไว้ในเอกสารของตำรวจ

ซึ่งเอกสารของตำรวจระบุเพียงว่า พยานรายนี้ ไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆ กับผู้ตาย ดังนั้นจึงเดาไม่ถูกว่าใครจะมีความขัดแย้งจนถึงกับต้องลงมือฆ่าหลายๆ ปากบันทึกไว้แบบนั้น ทั้งๆ ที่ รายชื่อของบุคคลเหล่านั้นเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนี้โดยตรง และมีการระบุในเอกสารสำนวนสอบสวนว่า ยกมือแล้วได้เงิน 12,000 ราย แต่การสอบสวนจำกัดอยู่แค่ อ่อน วิเป และมุ่งสอบสวนไปที่ว่าผู้ตายมีความเกี่ยวข้องกับการค้ายาบ้า ทั้งๆ ที่ มีหลายรายบอกไว้ชัดเจนว่าการตายของผู้ตายอาจจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง จากการต่อต้านโรงโม่หิน แต่ไม่มีสำนวนใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรงโม่หินเลย ซึ่งแทนที่จะเรียกคนที่มีความขัดแย้งกับผู้เสียชีวิตมาเป็นผู้ต้องหาร่วมแต่คนเหล่านั้นก็ไม่เคยได้รับการเรียกให้มาสอบปากคำเลยอาทิผู้ประกอบการเหมืองแร่ และ ศ.อบต.หลายคนที่สนับสนุนการทำเหมืองโดยตรงและมีความขัดแย้งกันมาตลอดในการประชุมสภา

“แม้จะมีเรื่องอายุของคดีความเข้ามาเกี่ยวข้องแต่คดีที่เกี่ยวข้องต่อการกระทำรุนแรงต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ถ้าหากพบหลักฐานอะไรใหม่ๆที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการถูกลอบสังหาร ผมอยากเสนอให้มีการแก้ไขข้อกฎหมายว่าถึงแม้จะหมดอายุความแล้วแต่หากพบหลักฐานใหม่ๆที่น่าสนใจก็สามารถที่จะรื้อฟื้นคดีได้ ซึ่งคดีแบบนี้ก็ไม่ต่างจากคดีของลูกชายกระทิงแดง ถึงแม้จะหมดอายุความแล้วแต่หากได้รับความสนใจจากสาธารณชนก็สามารถที่จะนำกลับมารื้อคดีใหม่ได้” หัวหน้าพรรคสามัญชนในฐานะที่ปรึกษากลุ่มกล่าว

สอน คำแจ่มและกลุ่มนักอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันดได้เดินทางเข้าพบจนท.ตร.รื้อคดี 4 าศพดงมะไฟ.JPG