สกาล่าคลาคล่ำไปด้วยบุคคลสำคัญจากหลากหลายวงการ ทั้งนักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว สื่อมวลชน ผู้กำกับ นักวิจารณ์ และประชาชน ที่มาร่วมชมภาพยนตร์เรื่อง Ten Years Thailand หนังที่ชวนมองอนาคตของประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า ผ่าน 4 หนังสั้นโดย 4 ผู้กำกับชาวไทย อาทิตย์ อัสสรัตน์, วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง, จุฬญาณนนท์ ศิริผล และอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งจัดฉายรอบปฐมทัศน์ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 นี้หลังจากที่ได้ไปฉายถึงเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์มาแล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม
ก่อนภาพยนตร์จะเริ่มฉายให้รับชม ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา หนึ่งในผู้ดำเนินรายการงานในค่ำคืนนั้นได้โยนหินถามทางนักการเมืองและนักวิชาการคนสำคัญหลายๆ คนด้วยกันถึงความเห็นต่ออนาคตของประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า
ในฐานะชาวไทยที่ยังคลางแคลงในความเป็นไปของประเทศนี้ที่เราอาศัยร่วมกันอยู่ ทีม Voice On Being จึงได้รวบรวมคำตอบและไถ่ถามความเห็นเพิ่มเติมมานำเสนอ
เมื่อถูกถามถึงความเห็นต่ออนาคตในอีก 10 ปี ข้างหน้าของประเทศไทย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ตอบว่าตัวเขาเองนั้นไม่สามารถล่วงรู้ถึงอนาคตได้ เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ต้องร่วมกันสร้างขึ้นมา
“ปีหน้ายังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง ผมว่าขึ้นอยู่กับพวกเรา อนาคตเราต้องเป็นคนกำหนด เพราะฉะนั้น 10 ปี มันขึ้นอยู่กับพวกเราว่าเราจะเลือกทางอย่างไร ผมว่าอย่างง่ายๆ ก็อย่าไปเลือกประชาธิปไตยจอมปลอม มันมีคนเยอะเลยที่เป็นเผด็จการแต่พยายามจะใส่เสื้อประชาธิปไตย ก็ต้องเอาประชาธิปไตยที่มีจิตวิญญาณ”
ทางด้าน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงอนาคตของประเทศไทยในความฝันของเขาว่าแม้จะเป็นความฝันที่เรียบง่ายแต่ก็ไม่อาจได้มาโดยง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขาเชื่อว่าผู้ที่มาร่วมชมภาพยนตร์ Ten Years Thailand กันอย่างคับคั่งโรงภาพยนตร์นั้นก็นับได้ว่าเป็นประจักษ์พยานของกระแสความต้องการความเปลี่ยนแปลงในสังคม
“ผมมีความฝันที่เรียบง่ายมาก เพราะความฝันของผมคืออยากเห็นคนเท่าเทียมกันในประเทศไทย ผมอยากเห็นอนาคตที่ไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก ผมคิดว่าความฝันที่ง่ายๆ นี้ไม่มีทางจะได้มาด้วยความง่ายดายเลย จำเป็นจะต้องต่อสู้ จำเป็นจะต้องเรียกร้อง และจำเป็นจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้มา”
สำหรับ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นั้น อนาคตมาจากความเห็นของคนในประเทศซึ่งจะสะท้อนออกมาผ่านการเลือกตั้งซึ่งคาดว่ากำลังจะเกิดขึ้น และทำให้คนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ก็จะได้ใช้สิทธิเพื่อแสดงความเป็นตัวตนบอกว่าพวกเขาอยากเห็นอนาคตของประเทศนี้เป็นอย่างไร และเมื่อรวมกันเข้าแล้ว สิ่งนี้จะเป็นพลังในการกำหนดทิศสำหรับบ้านเมืองในวันข้างหน้า
"ความหวังของเมืองไทยอีก 10 ปีข้างหน้า ไม่ได้อยู่ในมือคนสูงวัย แต่อยู่ที่คนซึ่งเป็นคนที่มีอนาคต อยู่ในฐานะซึ่งมีเรี่ยวมีแรง"
ปฏิเสธได้ยากว่าในงานนี้คำว่าอนาคตดูจะผูกโยงอยู่กับการเลือกตั้งอยู่ไม่น้อย และ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการอาวุโสก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเลือกตั้งซึ่งคาดว่ากำลังจะเกิดขึ้นเช่นกันว่าน่าจะเป็นการเลือกตั้งซึ่งสำคัญมาก
“ผมคิดว่าไม่เคยมีครั้งไหนในการเลือกตั้งประเทศไทยของเราจะชัดเจนเท่านี้ เพราะว่ามันแบ่งเป็นสองฝ่ายชัดเจนมากๆ ผมคิดว่าด้านหนึ่งคือฝ่ายประชาธิปไตย อีกด้านหนึ่งคือฝ่ายรัฐประหาร เพราะฉะนั้นวันที่ไปหย่อนบัตรก็จะง่ายมาก คือชอบฝ่ายประชาธิปไตยก็หย่อนพรรคไหนก็ได้ ชอบฝ่ายรัฐประหาร ก็หย่อนพรรคไหนก็ได้ มันก็มีแค่นี้”
วัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทยเองก็เห็นด้วยกับความเห็นของอาจารย์ชาญวิทย์ว่าการเมืองในปัจจุบันแบ่งเป็นสองขั้วชัดเจน และประชาชนเป็นผู้กำหนดอนาคตว่าจะเลือกอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
"ถ้าอยากเห็นอนาคตของประเทศที่มันหลุดออกจากกับดักตรงนี้ ผมอยู่พรรคเพื่อไทย เอก (ธนาธร) อยู่อนาคตใหม่ หรือจะไปพรรคเกียนก็ได้นะครับ"
อย่างไรก็ตามเมื่อทีม Voice On Being ถามถึงอนาคตของประเทศไทยในสายตาของ อาทิตย์ อัสสรัตน์ หนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ Ten Years Thailand นี้ เขามองว่า 10 ปีอาจไม่ใช่ช่วงเวลายาวนานอย่างที่คิด ภาพที่สะท้อนออกมาในผลงานของเขาจึงไม่หนีไปจากปัจจุบันมากนัก
“ผมเห็น 12 ปีที่ผ่านมาเหมือนเวียนอยู่ในรถไต่ถัง มันหาทางออกไม่ได้ แล้วผมรู้สึกว่ามันต้องหาทางออกให้ได้ อนาคตมันต้องดีกว่านี้ แล้วการที่เราทำในการทำหนังเนี่ย หนังมันคือสื่อแบบหนึ่ง เราก็แค่พูดในเสียงเล็กๆ ของเราว่าอนาคตมันควรจะเป็นยังไง มันควรจะดีกว่านี้ ผมรู้สึกว่าเราต้องเชื่อมั่นในระบบ เพราะระบบคือกฎหมาย เราจะเป็นสังคมที่ดีได้ เราต้องเคารพระบบ เราต้องเคารพฎหมาย แล้วสิ่งที่ผมเห็นที่ผ่านมาใน 12 ปี มันเป็นการฝ่าไฟแดงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ถูก”
ทางด้าน จุฬญาณนนท์ ศิริผล ผู้กำกับอีกคนหนึ่งของ Ten Years Thailand เล่าว่าภาพอนาคตของประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าที่สะท้อนผ่านหนังอาจไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่การมองอนาคตในแง่ลบก็อาจจะดีในการตั้งคำถามซึ่งทำให้เห็นปัญหาในสังคม
"อนาคตมันเป็นเรื่องที่อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันผูกพันกันอยู่ แล้วการที่สังคมจะก้าวไปข้างหน้าได้ เราต้องย้อนกลับไปดูอดีตด้วยว่าเรากำลังเผชิญกับอะไร ปัจจุบันเราเผชิญกับอะไร แล้วปัญหาของปัจจุบันมันจะนำไปสู่อนาคตอย่างไรได้บ้าง
"เหมือนเราไปตั้งคำถามกับผู้ชมว่าจริงๆ แล้วอนาคตที่เราคาดหวังว่าจะมีอนาคตที่ดีกว่า ที่สดใสกว่า จริงๆ แล้วมันอาจจะมีปัญหาหรือสิ่งที่เราอาจจะต้องเผชิญในอนาคตหรือเปล่า ในการนำเสนอหนังโลกอนาคตมาเป็นแบบดิสโทเปีย (สังคมอันไม่พึงประสงค์) เราว่ามันดีในการที่จะตั้งคำถามกับคนดูมากกว่า"
เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่าไม่แปลกที่ภาพยนตร์จะมองในแง่ร้าย เพราะประเทศไทยถูกแช่แข็งมานาน สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร ก็จะได้เห็นหนังที่สะท้อนสังคมในลักษณะนั้นออกมา
“ทิศทางของประเทศไทยจะเป็นไปยังไงต่อจากนี้เนี่ย ก็ต้องช่วยกันทุกๆ คน สำหรับคนรุ่นใหม่คนที่กำลังเข้ามามันมีความเป็นไปได้หลายต่อหลายรูปแบบที่จะเป็นไปได้ ผมก็หวังว่ามันจะออกมาดีที่สุด”
ชัชชาติได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับทีม Voice On Being ว่า เขาเชื่อว่าในอนาคต พลังของปัจเจกแต่ละคนจะมีความสำคัญมากขึ้น เพราะทิศทางของอนาคตจะไม่ได้มาจากศูนย์กลางอย่างรัฐอีกต่อไป แต่จำเป็นต้องมองเห็นทั้งความหวังและปัญหาควบคู่กัน
"ผมคิดว่าทุกคนต้องมีความหวัง ผมว่าในอนาคต พลังของคนเล็กคนน้อยมันจะมีมากขึ้น เราต้องสร้างความหวังให้กับคนเล็กคนน้อยพวกนี้แหละ อย่างประเทศที่สร้างขึ้นมาได้เนี่ย ไม่ได้สร้างเพราะรัฐบาลกลางนะ มันสร้างจากความสามารถของแต่ละบุคคล รัฐบาลมีหน้าที่ซัพพอร์ต ถ้าเราไปกำกับเขาตลอด บอกว่าทำอย่างนี้ๆ ตลอดเนี่ย แต่ละคนไม่มีความหวังหรอก เพราะเหมือนกับถูกคำสั่งจากส่วนกลาง
“ผมคิดว่าคนเก่งๆ มีเยอะที่มันจะสร้างพลังขึ้นมาได้ อย่างหนังในวันนี้ก็เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่สร้างผลงานขึ้นมาจากความคิดตัวเอง รัฐไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรเลย เขาสปอนเซอร์ตัวเอง เพราะฉะนั้นนี่มันคือพลังของคนตัวเล็กตัวน้อย"
ไม่ว่า Ten Years Thailand ซึ่งจะเข้าฉายจริงในวันที่ 13 ธันวาคมนี้ จะฉายภาพอนาคตของประเทศไทยในแบบที่ผู้ชมอยากเห็นหรือไม่ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็นำเสนอความคับข้องและคลางแคลงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา และทิ้งคำถามไว้ให้ผู้ชมในยุคปัจจุบันว่าเราอยากจะเห็นสังคมดำเนินต่อไปในทิศทางไหน เพราะอนาคตของประเทศเกี่ยวข้องกับเราทุกคน