วันนี้ (17 สิงหาคม 2568 ) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก) เปิดเผยว่า วานนี้ (16 สิงหาคม 2568) รัฐบาล ประสบความสำเร็จในการนำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้เห็นข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่เพิ่งถูกฝังโดยฝ่ายกัมพูชา และได้พูดคุยกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เชี่อว่า คณะทูตและผู้แทน จะได้นำข้อมูลที่ได้รับไปรายงานต่อรัฐบาลของตน พร้อมถ่ายทอดความจริงต่อสาธารณชนต่อไป
เมื่อวันที่ 11–14 สิงหาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลไทย โดยกองทัพบก กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย ร่วมให้การอำนวยความสะดวกแก่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross: ICRC) ในการลงพื้นที่รับทราบผลกระทบของพลเรือนจากสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยส่วนราชการจังหวัดร่วมให้ข้อมูลและประสานงาน พร้อมอำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่อำเภอพนมดงรักและอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ไทยให้ความสำคัญต่อความร่วมมือกับคณะ ICRC ในการขับเคลื่อนกลไกด้านมนุษยธรรมสากล โดยทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันว่าควรปฏิบัติตามหลักสากลอย่างเคร่งครัด เพื่อคุ้มครองและบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ การปฏิบัติของ ICRC เป็นไปตามหลักสากล ยึดมั่นในความเป็นกลาง มิได้ตัดสินความ “ถูก–ผิด” ของคู่ขัดแย้ง แต่เน้นการดำเนินงานด้านมนุษยธรรม โดยเข้ารวบรวมข้อมูลในพื้นที่จริง พร้อมสัมภาษณ์ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แบบส่วนตัว เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ตามอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 ว่าด้วยการคุ้มครองและบรรเทาทุกข์แก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้เจ็บป่วย บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข และผู้นำทางศาสนา จากนั้นจะนำข้อมูลดังกล่าวรายงานให้กับหัวหน้าส่วนราชการของทั้งสองประเทศโดยตรง เพื่อให้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริง โดยจะไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นกระบวนการตามมาตรฐานสากลที่ ICRC ยึดถือปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง
นายจิรายุ ยังเปิดเผยว่า หลังจากนี้ วันที่ 18 - 20 สิงหาคม 2568 ที่จะถึงนี้ กองทัพไทยจะนำคณะสังเกตการณ์ชั่วคราว (the Interim Observer Team - IOT) ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยเช่นกัน เพื่อรับทราบข้อเท็จ และการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงไว้ในการประชุม GBC ที่ผ่านมา
“ที่ผ่านมา ไทยได้เชิญหลายคณะและหลายองค์กรมาลงพื้นที่จริง เพื่อร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อประชาคมโลกถึงความจริงใจของไทยในการทำงานด้านมนุษยธรรม ยืนหยัดปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด พร้อมเดินหน้าเชิญนานาชาติร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ต่อประชาคมโลกว่า ประเทศไทยพร้อมทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อคุ้มครองสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคน” นายจิรายุ กล่าว