ไม่พบผลการค้นหา
หญิงชาวซาอุดีอาระเบียหนีการกักขังโดยครอบครัว เพราะเลิกนับถือศาสนา แต่พอมาถึง กทม. แล้วถูกกงสุลซาอุดีฯ ยึดพาสปอร์ตและเตรียมส่งตัวกลับพรุ่งนี้เช้า (7 ม.ค.)

ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด มุตลัก อัลกุนุน หญิงชาวซาอุดีอาระเบียวัย 18 ปี ทวีตข้อความขอความช่วยเหลือ โดยเธออ้างว่า เธอได้หลบหนีออกจากประเทศ แต่ถูกทางการซาอุดีอาระเบียยึดพาสปอร์ตหลังจากเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อเวลา 21.30 น. ของวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา ทำให้เธอไม่สามารถขึ้นเครื่องบินต่อไปที่ออสเตรเลีย ซึ่งเธอได้รับวีซ่าแล้ว เนื่องจากครอบครัวของเธอได้แจ้งความว่าเธอหลบหนีออกจากบ้าน

ราฮาฟกล่าวว่า เธอถูกกักตัวไว้ที่โรงแรมมิราเคิล ทรานซิต โดยมีคนไทยคอยเฝ้าไม่ให้เธอหลบหนีออกจากโรงแรม และเธอได้รับแจ้งว่าเธอจะถูกส่งตัวกลับคูเวตด้วยสายการบินคูเวตแอร์เวย์สในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ (7 ม.ค.) แต่เธอต้องการดำเนินการขอสถานะผู้ลี้ภัยจาก สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)

ราฮาฟเล่าว่า เธอถูกครอบครัวขังอยู่ในห้องนานถึง 6 เดือน เพียงเพราะเธอไปตัดผม โดยครอบครัวเธอมองว่า การตัดผมเป็นการทำผิดหลักศาสนา เพราะผู้หญิงไม่ควรตัดผมเหมือนผู้ชาย

นอกจากนี้ เธอยังถูกพี่ชายทำร้ายร่างกาย ขณะเดียวกัน เธอได้เลิกนับถือศาสนาอิสลามแล้ว แต่ครอบครัวของเธอไม่พอใจอย่างมาก และบังคับให้เธอสวมฮิญาบต่อไป เธอจึงตัดสินใจหลบหนีออกจากประเทศ

ราฮาฟอธิบายว่า เธอเกรงว่าเธออาจถูกสังหาร หากเธอถูกส่งตัวกลับประเทศ เพราะครอบครัวของเธอกดขี่เธอมาตลอด และการหนีออกจากบ้านถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้เธอถูกจำคุก

ล่าสุด ราฮาฟอ้างว่า ตำรวจไทยได้เข้าพบเธอ เพื่อขอให้เธอหยุดขอความช่วยเหลือบนโซเชียลมีเดีย

สำนักข่าว AEC News Today สัมภาษณ์นายฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำภูมิภาคเอเชีย โดยนายโเบิร์ตสันกล่าวว่า การกักตัวราฮาฟเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก พร้อมเรียกร้องให้ทางการไทยอนุญาตให้ราฮาฟสามารถติดต่อ UNHCR ประจำกรุงเทพฯ

นายโรเบิร์ตสันยังกล่าวว่า การส่งราฮาฟกลับประเทศทำให้ราฮาฟกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ครอบครัวของเธอทำร้ายเธอทั้งทางร่างกายและจิตใจเพียงเพราะต้องการอิสรภาพ วิธีการที่เธอถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมยิ่งแสดงให้เห็นว่าซาอุดีอาระเบียเหยียบย่ำสิทธิสตรี รวมถึงสิทธิในการออกจากประเทศด้วย เธอได้รับวีซ่าออสเตรเลียแล้ว และมีสิทธิที่จะเดินทางไปที่ไหนก็ได้ตามที่เธอต้องการ รัฐบาลใดๆ ก็ไม่ควรมาแทรกแซง

นายโรเบิร์ตสันยังเรียกร้องให้ทางการไทยออกมาอธิบายว่าทำไมเจ้าหน้าที่การทูตจากซาอุดีอาระเบียได้รับอนุญาตให้เดินเข้าไปในพื้นที่ปิดของสนามบินสุวรรณภูมิ และยึดหนังสือเดินทางของพลเมืองซาอุดีฯ ได้

การลักพาตัวในสนามบินสุวรรณภูมิ

สำนักข่าว AEC News Today รายงานว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนถูกลักพาตัวในพื้นที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาในสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเดือน พ.ค. 2561 ผู้หญิงชาวจีนถูกลักพาตัวโดยชาวจีน 4 คนและคนไทยอีก 1 คน พร้อมเรียกค่าไถ่ถึง 15 ล้านบาท ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวหลังจ่ายค่าไถ่ 10 ล้านบาท

ภาพจากกล้องวิดีโอวงจรปิดแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงคนดังกล่าวถูกนำตัวผ่านด่านตรวจความปลอดภัยถึง 2 จุดในสนามบิน และจากการสอบสวนพบว่า แก๊งลักพาตัวได้รับความช่วยเหลือจากคนไทย 10 คน รวมถึงตำรวจตรวจคนเข้าเมืองระดับสูงในสนามบินด้วย


ที่มา : Twitter: @rahaf84427714, AEC News Today

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :