นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กล่าวถึงกรณีที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศกลางที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ว่า “ผมจะรับผิดชอบเอง”กรณีบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด ประเทศออสเตรเลีย บริษัทแม่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำชาตรี ยื่นฟ้องรัฐบาลไทย ข้อหาละเมิดข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) หลังหัวหน้าคสช.ใช้อำนาจมาตรา 44 ของ คสช. ในคำสั่งฉบับที่ 72/2559 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559 ระงับการอนุญาตให้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ใน จ.พิจิตร ว่า ตนไม่อยากจะนับ ว่าในกรณีนี้ เงินที่จะต้องชดใช้รวมดอกเบี้ยแล้ว กี่หมื่นล้าน

แม้ว่า พลเอกประยุทธ์ ไม่เคยมีประวัติแพ้คดีใด ๆ มาก่อนเลย แต่กรณีนี้ ไม่ใช่เหมือน กรณี คดีโฮปเวลล์ ซึ่งเป็นบทเรียนที่แสนสาหัส ของประเทศไทยที่ต้องเสียค่าโง่ แต่กรณีนี้ แม้ศาลจะยังไม่ตัดสิน พลเอกประยุทธ์ ก็ควรออกมาประกาศต่อสาธารณชนให้ชัดเจนว่า จะรับผิดชอบเรื่องนี้ดังปากว่าอย่างไร

หมายถึง 1. รับผิดชอบในทางแพ่ง ใช้หนี้แทนคนไทยพลเอกประยุทธ์ ก็จะกลายเป็นบุคคลล้มละลาย 2. รับผิดชอบทางการเมือง ด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากชนะคดีก็ไม่เป็นไร เป็นผลดี แต่หากแพ้จะทำอย่างไร ควรบอกมาให้ชัด

นอกจากนี้ นายจตุพร ยังได้กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย คดีโอนหุ้นสื่อฯ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ วันที่ 20 พ.ย. นี้ ว่า ตนมั่นใจว่าจากการดูกระดานการเมืองนี้ คิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจาก นายธนาธร จะพ้นสภาพจากการเป็น ส.ส. ดังที่ตนเคยโดน ในมาตราเดียวกัน แต่คนละวงเล็บ พ้นสภาพจาก ส.ส.แน่ ๆ แต่จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองกี่ปีนั้น อยู่ที่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ใน วันที่ 20 พ.ย. นี้ ยังไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับการยุบพรรค แต่หลังจากนั้นก็คงไม่รอด เรื่องแบบนี้เมื่อโดนครั้งหนึ่ง ก็มักจะตามมาเป็นรวงผึ้ง