พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ อภิปรายการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งประกาศว่าจะเป็นรัฐบาลเพียง 4 เดือน แต่ถ้าดูนโยบายที่แถลงเหมือนจะขับเคลื่อนประเทศไปอีก 4 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ซึ่งเป็นวงเงิน 3.78 ล้านล้าน ที่จะมีผลใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 ในวงเงินก้อนนี้จะเป็นวงเงินรายจ่ายประจำอยู่ 2.65 ล้านล้าน ซึ่งเป็นเงินเดือน เป็นค่าบริการสาธารณสุข เป็นเงินเกี่ยวกับการศึกษา และอีกก้อนหนึ่งก็คือ 860,000 ล้าน เป็นงบลงทุน หรือประมาณ 22% งบประมาณทั้งหมดจะมีแผนงานโครงการที่ใช้ทุกบาท ทุกสตางค์ ทุกสลึง ซึ่งสิ่งที่นายกฯ จะไปใช้ได้มีเพียงงบกลาง ดังนั้น การแถลงนโยบายกับงบประมาณจึงเป็นคนละเรื่องกัน
ถ้าไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง ก็จะเหมือนการขายฝัน จริงๆ แล้วอาจจะเรียกนโยบายนี้ว่าเป็น "นโยบายของคนโกหก" หรือเป็น "เรื่องโกหกของนโยบาย" ก็ได้ ไม่ใช่เชิงตำหนิ เพราะถ้ามีนโยบายแต่ไม่มีงบประมาณ แล้วท่านจะไปตั้ง พ.ร.บ.งบประมาณ หรือไปกู้ที่ผลักภาระให้ประชาชน มันยิ่งเลวร้ายใหญ่ แต่ที่สำคัญ ใน 4 เดือนที่จะยุบสภา ผมคิดว่ารัฐบาลต้องเริ่มคิดว่า สิ่งที่รัฐบาลควรทำ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ สิ่งที่รัฐบาลไม่ควรทำ และสิ่งที่รัฐบาลต้องไม่ทำคืออะไร
สิ่งที่รัฐบาลควรทำ: คือ รัฐบาลต้องประกาศให้เห็นว่า คณะรัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต และต้องทำงานประจำที่มีการบริหารงบประมาณ 3.78 ล้านล้าน ซึ่งผ่านมันสมองของ สส. 500 คน และวุฒิสภา งบประมาณก้อนนี้จะทำให้ความเหลื่อมล้ำลดลง การศึกษาดีขึ้น และเศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลควรไปทำงานประจำนั้นให้ดีขึ้น เพราะมีเวลาแค่ 4 เดือน
สิ่งที่รัฐบาลต้องไม่ทำ: คือการทุจริต การไม่ใช้กฎหมายอยู่เหนือความยุติธรรม การไม่ใช้อำนาจไปแทรกแซง ซึ่งทั้งหมดนี้ท่านเขียนไว้ในนโยบายอยู่แล้ว
เนื่องจากนายกฯอนุทิน แถลงนโยบายด้านสังคมว่าจะรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะข้อ 9.2 ท่านบอกว่าจะไม่ใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ท่านประธานที่เคารพครับ ในความเป็นจริง กฎหมายจะดีแค่ไหน นโยบายจะดีแค่ไหน แต่ถ้าคนเข้ามาไม่สัตย์ซื่อ ไม่ธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม กฎหมายนั้นก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่เราจะเห็นก็คือ รายชื่อของคณะรัฐมนตรีจำนวนหลายคนซึ่งมีเพื่อนสมาชิกได้พูดไปแล้วว่า มีความสงสัยในความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ในโอกาสนี้ผมจะหยิบเรื่องใน 4 เดือนที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเสถียรภาพของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีปฏิเสธไม่ได้ อดีตเป็นบทเรียน สังคมไม่ควรให้มีการกระทำผิดซ้ำบ่อยๆ ดังคำสอนของโต๊ะครูทางภาคใต้ที่ว่า "มุสลิมเราเนี่ย จะไม่ให้แมลงป่องต่อยซ้ำสอง" คือจะไม่ให้มีการมากระทำผิดซ้ำอีก
[ประเด็นที่ดินเขากระโดง]
เรื่องแรกที่อยากจะฝากท่านนายก คือเรื่องที่ดินเขากระโดง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน เรามีคำพิพากษาของศาลยุติธรรมและศาลปกครองจำนวน 9 ฉบับ ซึ่งผู้พิพากษาทั้งสิ้น 24 ท่าน ได้ตัดสินว่า ที่ดินเขากระโดงจำนวน 5,083 ไร่ 80 ตารางวา เป็นที่ดินของการรถไฟ การออกเอกสารสิทธิ์ไปทับที่ดินของการรถไฟไม่สามารถกระทำได้ ที่ดินของรถไฟนี้เกิดขึ้นก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน และเป็นที่หวงห้าม ไม่สามารถมาออกเอกสารสิทธิ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพิพากษาเขียนไว้ว่าที่ดินนี้ รัชกาลที่ 6 พระราชทานให้ วันนี้เราจะไปช่วงชิงที่นี้มาเชียวหรือ
ศาลปกครองมีคำสั่งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 พิพากษาให้อธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกฟ้องที่ 2) ดำเนินการปฏิบัติตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งมีทั้งการให้เพิกถอน รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่ารัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด กรมที่ดินยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยตั้งกรรมการตามมาตรา 61 วรรค 2 แต่ไม่ไปทำตามที่ศาลปกครองสั่งคือให้ไปสำรวจแนวเขต กลับไปพิพากษาคดีใหม่ ไปเอาแผนที่มา ซึ่งเรื่องทั้งหมดถูกตัดสินโดย 9 ศาลอย่างชัดเจนแล้ว คณะกรรมการชุดนี้จึงทำตัวตามอำเภอใจ ไม่ใช่ตามกฎหมาย
ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 อธิบดีกรมที่ดินสั่งยุติการสำรวจ ทั้งที่การรถไฟฯ กับผู้สำรวจกำลังดำเนินการอยู่ แต่ต่อมาการรถไฟฯ กับผู้สำรวจก็ทำเสร็จ ซึ่งถ้าทำเสร็จตามกฎหมายก็เพียงแต่มารอเพิกถอน แต่เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566 ผู้ว่าการรถไฟคนปัจจุบันเห็นว่างานธุรการยังไม่เรียบร้อย ก็ไปประชุมกับผู้สำรวจและรับรองแนวเขต ซึ่งถือว่าจบเรื่องแล้ว หน้าที่ต่อไปคือต้องไปเพิกถอน หลังจากนั้น ปรากฏว่าหลังจากมีนายกฯ แล้ว กระทรวงมหาดไทยไปสั่งยุติ
ที่พูดเรื่องนี้เพราะเกี่ยวกับนโยบาย "จะไม่ใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อประโยชน์ทางการเมือง" ในประเด็นนี้ว่าประโยชน์ทางการเมืองคือ ท่านนายกเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และท่านนายกก็มีบ้านอยู่ที่บ้านเลขที่ 30/2 หมู่ 4 ต.อิสาน อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ในพื้นที่นี้ด้วย เมื่อผู้พิพากษา 24 คนวินิจฉัยมาแล้ว แต่กลับให้หน่วยงานไปตีความตามอำเภอใจ และเป็นเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นทั้งหมด
ผลกระทบคือ:
1. ความเสียหายของรัฐ:การรถไฟฯ ต้องสูญเสียที่ดิน 5,083 ไร่ มูลค่าเป็นหมื่นๆ ล้าน
2. บ่อนทำลายหลักนิติธรรม:ปล่อยให้โฉนดเป็นโมฆะ และทำลายคุณค่าของคำพิพากษาในพระปรมาภิไธย
3. เกิดความเหลื่อมล้ำ:ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งท่านพูดว่าจะไม่ให้ใครอยู่เหนือกฎหมาย
4. ละเลยรัฐธรรมนูญ
[ประเด็นการได้มาซึ่งวุฒิสภา (ฮั้ว สว.)]
อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่กระทบต่อเสถียรภาพทางฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ คือการได้มาซึ่งวุฒิสภา มี กกต. และอนุกรรมการ กกต. ได้ส่งคำร้องให้คณะรัฐมนตรีในที่นี้ประมาณ 6-7 คน ไปรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งมีคดีที่เกี่ยวเนื่องทั้งหมด 229 คน และมีคนใน ครม. ที่เกี่ยวข้อง ในความผิดฐานอั้งยี่หรือฟอกเงิน ซึ่งผมคิดว่าเป็นมหันตภัยที่อันตรายที่สุดที่ทำลายระบบประชาธิปไตย วันนี้เราเป็นสภาที่ สว. มาจากการเลือกตั้ง แต่ปรากฏว่าในหลักฐานโพยฮั้ว ทุกคนเหมือนเปิดหีบบัตร ตรงกัน 100%
ฝากท่านนายกและ ครม. ให้ปล่อยพนักงานสอบสวนกระทำตามหน้าที่ เพราะเรื่องนี้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ในมาตรฐานการสอบสวนของคดีอั้งยี่ ซึ่งมีโทษถึง 10 ปีสำหรับหัวหน้า ศาลได้วางหลักว่าแค่ "มีหลักฐานพอสมควร" ก็สามารถเรียกมาแจ้งข้อหาได้ ในจำนวน 229 คนนี้ มีทั้งตัวท่านนายกและรัฐมนตรี ซึ่งถ้าไม่เข้าไปแทรกแซง ปล่อยให้ทำตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ คิดว่าเรื่องนี้เป็นมหันตภัยที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในสังคมไทย
[ประเด็นกัญชาและระบบเศรษฐกิจ]
สุดท้ายนี้ สิ่งที่นายกฯอนุทิน ได้ทำเป็นตราบาปของประเทศไทยคือ เรื่องกัญชา วันนี้กัญชาเป็นเรื่องใหญ่มาก ผมไปประชุมที่ไหน เขามองว่าประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตยาเสพติด ถ้าเราไม่ควบคุม ภูเก็ตซึ่งจะเป็นเมืองหลักของการท่องเที่ยว จะกลายเป็นเมืองร้างของการท่องเที่ยว และท่านมาจากกลุ่มผู้สัมปทานในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเหมือน "เสือนอนกิน" คือผลักภาระไปให้ประชาชน พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง ระบุ ผมดีใจที่มีรัฐมนตรีที่มาจากประชาชนอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นจะมีแต่คนอยู่ในหอคอยงาช้าง