วันที่ 31 ต.ค. 2565 ที่สดมภ์อนุสรณ์ สะพานลอยหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถ.วิภาวดีรังสิต เครือข่ายภาคประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดง จัดกิจกรรมรำลึกถึง นวมทอง ไพรวัลย์ หรือ ‘ลุงนวมทอง’ คนขับแท็กซี่ผู้ขับรถชนรถถัง เพื่อประท้วงการก่อรัฐประหาร ปี 2549 ก่อนจะผูกคอเพื่อกระทำอัตนิวิบาตกรรมบนสะพานลอยหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เมื่อ 31 ธ.ค. 2549 เพื่อยืนยันในอุดมการณ์ และลบคำสบประมาทของ พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ (ยศขณะนั้น) รองโฆษกคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่กล่าวว่า “ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีวิตได้”

เวลา 13.00 น. มวลชนทยอยเข้ารวมตัวที่สดมภ์อนุสรณ์ ก่อนผู้นำในพิธีการจะเดินทางมาถึง อาทิ บุญชู ไพรวัลย์ ภรรยาของนวมทอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เช่น ธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช. นพ.เหวง โตจิราการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย วรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย รวมถึงตัวแทนของพรรคเพื่อไทยและครอบครัวเพื่อไทย เช่น ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ ‘จ่านิว’ และ ชานันท์ ยอดหงษ์ เป็นต้น

จากนั้น พระสงฆ์ 4 รูป จากวัดเทวสุนทรเดินทางมาประกอบพิธีสวดพระอภิธรรม ผู้ร่วมงานร่วมกันถวายสังฆทานและกรวดน้ำ จากนั้นเป็นการวางพวงหรีดบริเวณใต้สะพาน จากบรรดาแกนนำนปช. และเครือข่ายในจังหวัดต่างๆ อาทิ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก่อแก้ว พิกุลทอง, นพ.เหวง โตจิราการ, วีระกานต์ มุสิกพงศ์, กลุ่มเสื้อแดงปทุมธานี, พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์, คณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553, UDD News (ยูดีดี นิวส์), เสื้อแดงนนทบุรี, ธิดา ถาวรเศรษฐ, คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครป.) ,มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย ,พรรคเพื่อไทย ,ครอบครัวเพื่อไทย, เสื้อแดง กทม., เสื้อแดงนนทบุรี ,เสื้อแดงปทุมธานี We Volunteer และ ตัวแทนพรรคไทยสร้างไทย

ธิดา ถาวรเศรษฐ ไว้อาลัย นวมทอง โดยระบุว่า จิตใจที่สูงส่ง กล้าหาญ ยอมสละแม้กระทั่งชีวิต เพื่อพิสูจน์อุดมการณ์ของฝ่ายประขาธิปไตย แม้การสละชีวิตจะไม่ใช่สิ่งที่เราควรทำตาม แม้กระทั่งตนก็ไม่เห็นด้วย พวกเราไม่ควรต้องสละชีวิตเช่นนั้น เพราะการรักษาชีวิตและจิตวิญญาณเพื่อการต่อสู้ ให้ได้มาซึ่งอำนาจของประชาชนต้องใช้เวลา ดังนั้น ควรรักษาชีวิตไว้เพื่อทำงานต่อไปมากกว่า

ด้าน ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ย้ำว่า ความหมายของการจัดกิจกรรมรำลึกทุกปี ว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เช่นนี้มีอยู่จริง แต่ทหารในกรมกองหลายคนไม่รู้ไม่เข้าใจ เราจึงต้องมารวมตัวกันเพื่อประกาศให้รับรู้ ว่าอำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ประชาชน ไม่ใช่ดาวบนบ่า นวมทอง คือปฐมบทแห่งการต่อสู้ทางการเมืองที่แท้จริง เป็นบุรุษผู้กล้าที่ตนคารวะที่สุด คนรักประชาธิปไตยจนยอมสละชีวิต มีอยู่จริง และเป็นสิ่งที่ไม่มีอำนาจเผด็จการใดจะมาล้มล้างได้

“การเมืองไทยยังคงมีความขัดแย้ง เพราะปรากฏมีผู้แสดงตัวเป็นลุงขึ้นอีกหลายคน จากลุงนวมทอง หลายปีต่อมา มีลุงกำนัน ลุงตู่ ลุงป้อม เพียงแต่ใครจะเป็นลุงชื่ออะไร บทบาทใดก็ตาม สำหรับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ผู้รักในหลักการที่ถูกต้อง ถ้าจะมีลุงสักคนอยู่ในหัวใจไปตลอดกาลนาน ลุงคนนั้นต้องชื่อ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ผู้เสียสละ ลุงนวมทองจากไปแล้ว 16 ปี ยังมีคนระลึกถึง มีคนห่วงหาอาทร ลุงบางคนอยู่มาแล้ว 8 ปี มีแต่คนบอกว่า ให้ออกไปตั้งแต่บัดนี้”

ทั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.บางซื่อ และตำรวจจราจรกลาง รวมกันราว 30 นาย มาสังเกตการณ์และอำนวยความสะดวกบริเวณจุดจัดกิจกรรม ขณะเดียวกันทาง กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ประสานงานรถสุขาเคลื่อนที่เพื่อบริการให้ผู้มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย

'ณัฐวุฒิ' ไม่เชื่อ 'เพื่อไทย' จับมือ พปชร. ดันแลนด์สไลด์ คาดยุบสภาตอนโค้งสุดท้าย

จากนั้น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบสภาภายในวันที่ 25 ธ.ค. นี้ โดยระบุว่า ถ้าพิจารณาตามสภาพของรัฐบาล ยิ่งอยู่ต่อไปนานก็ยิ่งสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมืองและตัวรัฐบาลเอง ดังนั้น มองจากมุมนี้ก็ไม่ควรไปต่อ 

แต่หากมองจากมุมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ยึดติดอำนาจ ไม่ยอมปล่อยวาง ก็เป็นไปได้ว่า ไม่ว่าจะบอบช้ำแค่ไหน ประเทศเสียหายอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ อาจยืนยันว่าตนทำถูกแล้ว และรักษาอำนาจต่อไป ส่วนตัวตนอยากให้ออกไปเดี๋ยวนี้ แต่ประเมินว่าถึงที่สุดจะมีการยุบสภา แต่จะเป็นวันที่ 24 ธ.ค. ตามกรอบเวลาย้ายพรรคหรือไม่ยังไม่แน่ใจ เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะอยากอยู่ต่อไปยาวๆ แล้วไปยุบสภาเอาโค้งสุดท้ายใกล้หมดวาระจริงๆ ก็ได้ 

สำหรับกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยอาจมีโอกาสจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ หลังการเลือกตั้งสมัยหน้านั้น ณัฐวุฒิ ไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะหันไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ หรือขั้วการเมืองที่ร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในการยึดอำนาจและสืบทอดอำนาจ แม้ความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร จะมีรอยปริร้าวเด่นชัด แต่ความสัมพันธ์ทางอำนาจมักจะมีเรื่องสมประโยชน์กันทางการเมือง 

ต่อให้ขัดแย้งหรือรู้สึกไม่อยากอยู่ด้วยกัน แต่ผลประโยชน์ยังทำให้ต้องอยู่กันต่อ ตนมองว่าเครือข่าย 3 ป. อยู่ในเกณฑ์นี้ ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐจะเสนอใครเป็นนายกฯ ก็ตาม ต้องยังคงเป็นฝ่ายเผด็จการที่มี ส.ว. 250 คนในมือ และตั้งใจเป็นรัฐบาลต่อไปอยู่ดี

“การวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคเพื่อไทย จะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่วนตัวผมยังไม่เชื่อ เพียงแต่สิ่งที่แกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนพูดไป เป็นการพูดไปตามหลักกว้างๆ ทางการเมือง เพราะเลือกตั้งเมื่อไหร่ยังไม่ทราบ ใครจะได้ที่นั่งเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ เลยพูดไปว่า ถึงเวลาให้ประชาชนตัดสินใจก่อน ค่อยพิจารณาว่าจะจับมือหรือจัดตั้งรัฐบาลกับใครบ้าง”

ณัฐวุฒิ ระบุว่า ก่อนหน้านี้ ตนมองว่าหลายคนในพรรคเพื่อไทยก็พูดชัดอยู่แล้ว ว่าการชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย แก้ไขปัญหาประเทศ จึงเป็นทางที่ควรจะเป็น ดังนั้น การวิเคราะห์วิจารณ์ว่าท้ายที่สุด พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐแน่ๆ นอกจากจะไกลความจริงแล้ว ตนยังมองว่าเป็นการวิเคราะห์ที่มาก่อนเวลาไปมาก เวลานี้ควรมองกันว่าเมื่อใดจะยุบสภา และจะเล่นเกมในการเลือกตั้งอย่างไรมากกว่า การใช้อำนาจ การใช้ทรัพยากร ใช้กระสุนดินดำที่มากมายมหาศาลในช่วงหลัง จะเลยเถิดไปถึงขั้นไหน

“พรรคเพื่อไทยประกาศเป้าหมายแลนด์สไลด์ ไม่ใช่เรื่องอื่น แต่เพื่อเอาชนะคู่แข่งสำคัญอย่างพรรคพลังประชารัฐ และต้องเอาชนะ 250 ส.ว. ซึ่งถือเป็นพรรคสาขาของพลังประชารัฐด้วย ดังนั้น การคิดจะไปร่วมมือกันจึงเป็นไปไม่ได้ ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ ถ้าหากประกาศว่าจะแลนด์สไลด์ ก็ต้องยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อไปตามวิถีทางประชาธิปไตย หากแลนด์สไลด์แล้วไปร่วมมือกับพรรคการเมืองที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ ประชาชนจะโยนคำถามมาว่า แล้วจะแลนด์สไลด์ไปไหน” ณัฐวุฒิ กล่าว

ณัฐวุฒิ ยังย้ำว่า พรรคใดที่ต้องการเสียงสนับสนุนจาก 250 ส.ว. ก็สามารถจับมือกับพรรคพลังประชารัฐได้ ถ้าต้องการแค่จัดตั้งรัฐบาล แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยไม่ได้ต้องการแค่นั้น หากต้องการยุติวงจรสืบทอดอำนาจ จัดตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย และทำให้มรดกการรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นในแง่ตัวบุคคล พรรคการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ต้องยุติบทบาทลงไปทั้งหมดด้วยการตัดสินใจของประชาชน ชัดเจนตรงไปตรงมาเช่นนี้